ข้อมูลเบื้องต้นจากการศึกษาทางคลินิกที่มีชื่อว่า SURMOUNT-1 แสดงให้เห็นว่า tirzepatide ซึ่งเป็นยากลุ่มใหม่ที่ออกฤทธิ์เป็น dual GIP (glucose-dependent insulinotropic polypeptide) receptor และ GLP-1 (glucagon-like peptide-1) receptor agonist ควบคู่กันไป สามารถลดน้ำหนักได้โดยเฉลี่ย 16% ถึง 22.5% ในผู้ที่ไม่ได้เป็นเบาหวานแต่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน
เมื่อประมาณ 1 ปีที่แล้ว คือ ในเดือนมิถุนายน ปี 2021 ได้มีความก้าวหน้าครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของการรักษาภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน เมื่อสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (Food and Drug Administration) หรือ FDA ให้การรับรอง semaglutide (Wegovy) ซึ่งเป็นยาตัวหนึ่งในกลุ่ม GLP-1 receptor agonist ด้วยข้อบ่งใช้ร่วมกับการควบคุมอาหารและการเพิ่มการออกกำลังกายในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ที่มีดัชนีมวลกาย (body mass index) หรือ BMI ตั้งแต่ 27 kg/m2 ขึ้นไป และมีโรคร่วมที่สัมพันธ์กับน้ำหนักอย่างน้อย 1 อย่าง เช่น โรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง หรือในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ที่มี BMI อย่างน้อย 30 kg/m2 เพื่อรักษาโรคอ้วนในระยะยาว โดยขนาดของ semaglutide ที่ได้รับการรับรอง คือ 2.4 มิลลิกรัม ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังด้วย Pen injector เพียงสัปดาห์ละครั้ง
Semaglutide (Wegovy) นับเป็นยาตัวแรกที่ได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับ chronic weight management ในผู้ที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน นับตั้งแต่ปี 2014 หรือในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา โดย semaglutide ทำงานด้วยการเลียนแบบ incretin ฮอร์โมนตัวหนึ่งในสมองที่เรียกว่า glucagon-like peptide-1 (GLP-1) ที่การกระตุ้นตัวรับหรือ receptors ของ GLP-1 ในสมอง ทำให้มีการหลั่ง GLP-1 เพิ่มขึ้นแล้วไปกดหรือยับยั้งการทำงานของ appetite control centre หรือศูนย์ควบคุมความอยากอาหารในสมองส่วน hypothalamus ส่งผลให้ลดความรู้สึกอยากรับประทานอาหารหรือเพิ่มความรู้สึกอิ่ม
ข้อมูลด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่สำคัญของ semaglutide 2.4 mg ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังเพียงสัปดาห์ละครั้ง ที่นำมาสู่การได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับใช้ร่วมกับการควบคุมอาหารและเพิ่มการออกกำลังกาย เพื่อลดน้ำหนักในผู้ที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน มาจากการศึกษาทางคลินิกจำนวน 4 การศึกษา ที่ใช้เวลาในการรักษา 68 สัปดาห์ โดย 3 การศึกษา เป็นการศึกษาแบบ randomized, double-blind, placebo-controlled trials (รวมถึงการเพิ่มขนาดของ semaglutide 2.4 mg ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังเพียงสัปดาห์ละครั้ง เป็นเวลา 16 สัปดาห์) และอีก 1 การศึกษา แบบ double-blind, placebo-controlled, randomized withdrawal trial ที่ผู้เข้าร่วมการศึกษาที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน ได้รับ semaglutide 2.4 mg ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังเพียงสัปดาห์ละครั้ง อย่างต่อเนื่องหรือเปลี่ยนไปเป็นการได้รับ placebo โดยมีผู้ที่ได้รับ semaglutide 2.4 mg ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังเพียงสัปดาห์ละครั้ง จำนวนกว่า 2,600 คน เป็นเวลานานถึง 68 สัปดาห์ และมีผู้ที่ได้รับ placebo มากกว่า 1,500 คน ในทั้ง 4 การศึกษาทางคลินิก
โดยหนึ่งในการศึกษาแบบ placebo-controlled trial ขนาดใหญ่ที่สุดของ semaglutide 2.4 mg ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังเพียงสัปดาห์ละครั้ง เป็นการศึกษาที่คัดเลือกผู้เข้าร่วมการศึกษาที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน แต่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน อายุเฉลี่ยของผู้ที่เข้าร่วมการศึกษานี้อยู่ที่ 46 ปี เมื่อเริ่มการศึกษา ผู้เข้าร่วมการศึกษาส่วนใหญ่ประมาณ 74% เป็นผู้หญิง น้ำหนักตัวโดยเฉลี่ยของผู้เข้าร่วมการศึกษาอยู่ที่ 105 กิโลกรัม และมีค่า BMI เฉลี่ยอยู่ที่ 38 kg/m2 ผลการศึกษาพบว่า ผู้เข้าร่วมการศึกษาที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน และได้รับ semaglutide 2.4 mg ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังเพียงสัปดาห์ละครั้ง มีน้ำหนักตัวลดลงเฉลี่ย 12.4% จากน้ำหนักตัวเมื่อเริ่มการศึกษาเปรียบเทียบกับผู้ที่ได้รับ placebo
ขณะที่อีกการศึกษาหนึ่ง placebo-controlled trial ที่คัดเลือกผู้ที่มีภาวะน้ำเกิน หรือโรคอ้วน และเป็นเบาหวาน ชนิดที่ 2 ด้วยเข้าร่วมนั้น ผู้เข้าร่วมการศึกษามีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 55 ปี และส่วนใหญ่ประมาณ 51% เป็นผู้หญิง ผู้เข้าร่วมการศึกษามีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 100 กิโลกรัม และมีค่า BMI เฉลี่ยอยู่ที่ 36 kg/m2 เมื่อเริ่มการศึกษา ผลการศึกษาพบว่า ผู้เข้าร่วมการศึกษาที่ได้รับ semaglutide 2.4 mg ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังเพียงสัปดาห์ละครั้ง มีน้ำหนักตัวลดลงเฉลี่ย 6.2% จากน้ำหนักตัวเมื่อเริ่มการศึกษาเปรียบเทียบกับผู้ที่ได้รับ placebo
ส่วนความก้าวหน้าที่น่าสนใจล่าสุดเกี่ยวกับการรักษาภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน ด้วยยา เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2565 Eli Lilly and Company หรือ Lilly ได้รายงานผลลัพธ์หลัก ๆ เบื้องต้นของการศึกษาทางคลินิกในระยะที่ 3 ที่มีชื่อว่า SURMOUNT-1 ซึ่งเป็นการศึกษาแบบ multi-center, randomized, double-blind, parallel, placebo-controlled trial ที่ประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ tirzepatide ซึ่งเป็น GIP (glucose-dependent insulinotropic polypeptide) receptor and GLP-1 (glucagon-like peptide-1) receptor agonist ขนาด 5 มิลลิกรัม, 10 มิลลิกรัม และ 15 มิลลิกรัม ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังทางหน้าท้องเพียงสัปดาห์ละครั้ง ร่วมกับการควบคุมอาหารและเพิ่มการออกกำลังกายในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 จำนวนประมาณ 2,500 คน แต่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรืออ้วนลงพุง และมีโรคร่วมอย่างน้อย 1 อย่าง ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด เปรียบเทียบกับ placebo โดย co-primary objectives ของการศึกษานี้ก็เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า tirzepatide 10 มิลลิกรัม และ/หรือ 15 มิลลิกรัม มีประสิทธิภาพเหนือกว่า placebo ในการลดน้ำหนักตัว (% ของน้ำหนักตัวที่ลดลงเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวเมื่อเริ่มต้นการศึกษา) และจำนวนหรือสัดส่วนของผู้ที่ประสบความสำเร็จในการมีน้ำหนักตัวลดลงตั้งแต่ 5% ขึ้นไป ที่ 72 สัปดาห์ของการศึกษา เมื่อเทียบกับ placebo
ผลการศึกษาพบว่า tirzepatide 10 มิลลิกรัม และ/หรือ 15 มิลลิกรัม มีประสิทธิภาพเหนือกว่า placebo ในการลดน้ำหนักตัว (% ของน้ำหนักตัวที่ลดลงเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวเมื่อเริ่มต้นการศึกษา) และในกลุ่มผู้ที่ได้รับ tirzepatide 10 มิลลิกรัม และ/หรือ 15 มิลลิกรัม มีจำนวนหรือสัดส่วนของผู้ที่ประสบความสำเร็จในการมีน้ำหนักตัวลดลงตั้งแต่ 5% ขึ้นไป ที่ 72 สัปดาห์ มากกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ที่ได้รับ placebo
โดยผู้ที่ได้รับ tirzepatide ขนาด 5, 10 และ 15 มิลลิกรัม มีน้ำหนักตัวลดลงโดยเฉลี่ย 16.0% (ประมาณ 16 กิโลกรัม), 21.4% (ประมาณ 22 กิโลกรัม) และ 22.5% (ประมาณ 24 กิโลกรัม) ตามลำดับ เทียบกับ 2.4% (ประมาณ 2 กิโลกรัม) ของกลุ่มผู้ที่ได้รับ placebo ขณะเดียวกันพบว่า 89% ของกลุ่มผู้ที่ได้รับ tirzepatide ขนาด 5 มิลลิกรัม และ 96% ของกลุ่มผู้ที่ได้รับ tirzepatide ขนาด 10 มิลลิกรัม และ 15 มิลลิกรัม ประสบความสำเร็จในการมีน้ำหนักตัวลดลงตั้งแต่ 5% ขึ้นไป ที่ 72 สัปดาห์ เทียบกับ 28% ของกลุ่มผู้ที่ได้รับ placebo
นอกจากนี้ ในส่วนของ key secondary endpoint พบว่า 55% ของกลุ่มผู้ที่ได้รับ tirzepatide ขนาด 10 มิลลิกรัม และ 63% ของกลุ่มผู้ที่ได้รับ tirzepatide ขนาด 15 มิลลิกรัม ประสบความสำเร็จในการมีน้ำหนักตัวลดลงอย่างน้อย 20% ที่ 72 สัปดาห์ เทียบกับ 1.3% ของกลุ่มผู้ที่ได้รับ placebo
Tirzepatide ซึ่งเป็นยากลุ่มใหม่ที่ออกฤทธิ์เป็น dual GIP (glucose-dependent insulinotropic polypeptide) receptor และ GLP-1 (glucagon-like peptide-1) receptor agonist ควบคู่กันไปนั้น นับเป็นยาตัวแรกที่อยู่ในขั้นตอนของการศึกษาวิจัยทางคลินิกในระยะที่ 3 ที่สามารถลดน้ำหนักได้มากกว่า 20% ในผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 แต่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรืออ้วนลงพุง
อนึ่ง จากรายงาน World Obesity Atlas 2022 ที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2565 ซึ่งเป็นวันโรคอ้วนโลก” (World Obesity Day) และรายงานนี้เกิดจากความร่วมมือของ World Obesity Federation และองค์การอนามัยโลก (World Health Organization หรือ WHO) มีประมาณการใหม่ของอุบัติการณ์ภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน ในทั่วโลกว่าประชากรทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านคน จะมีภาวะน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน ภายในปี ค.ศ.2030 หรือภายในปี พ.ศ.2575 ซึ่งเท่ากับว่าเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าตัว เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั่วโลกที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วนในปี 2010
ขณะเดียวกันพบว่า ปัจจุบันยังไม่มีประเทศใดในโลกที่สามารถแสดงให้เห็นว่าจะสามารถบรรลุถึงเป้าหมายในการหยุดยั้งโรคอ้วนให้ได้ภายในปี ค.ศ.2025 หรือภายในปี พ.ศ.2568 โดยคาดการณ์ว่า 1 ใน 5 ของผู้หญิงและ 1 ใน 7 ของผู้ชายทั่วโลก จะมีภาวะน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน ภายในปี ค.ศ.2030
ที่มาของข้อมูล :
https://jamanetwork.com, www.fda.gov,
www.medpagetoday.com, www.healio.com,
www.worldobesity.org, https://investor.lilly.com