“ปวดหัว” อย่านิ่งนอนใจ ต้องระวัง “เนื้องอกในสมอง”

“ปวดหัว” เป็นอาการที่พบได้ทั่วไปและหลายคนมักมีความเข้าใจผิดว่าเพียงแค่ทานยาแก้ปวดก็สามารถรักษาอาการปวดหัวได้ แต่แท้จริงแล้ว หากอาการปวดหัวไม่หายและมีทีท่ารุนแรงมากขึ้น อาจเป็นสัญญาณของเนื้องอกในสมองได้ และในขณะเดียวกันส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่า เนื้องอกในสมอง ไม่ใช่เนื้อร้าย หรือ มะเร็งเสมอไป แต่สามารถรักษาได้ และผู้ป่วยเนื้องอกในสมองจำนวนมากสามารถกลับไปดำเนินชีวิตได้เหมือนเดิมหลังได้รับการรักษาแล้ว
เนื้องอกสมองคืออะไร ?
เนื้องอกสมอง คือ การเจริญเติบโตอย่างผิดปกติของเนื้อเยื่อสมอง หรือเนื้อเยื่อที่อยู่ข้างเคียงกับสมอง เช่น เยื่อหุ้มสมอง, กะโหลกศีรษะ จนเกิดเป็นก้อนซึ่งส่งผลต่อการทำงานปกติของสมอง
ชนิดของเนื้องอกสมอง
                  โดยปกติ แพทย์จะแบ่งชนิดของเนื้องอกสมองตามที่มาของเซลล์ที่เกิดเป็นเนื้องอกในสมอง ถ้าเป็นเซลล์ของเนื้อสมองเองที่เกิดเป็นเนื้องอก จะเรียกว่า เนื้องอกสมองชนิดปฐมภูมิ (primary brain tumor) แต่ถ้าเป็นเซลล์มะเร็งที่แพร่กระจายมาจากอวัยวะอื่น จะเรียกว่า มะเร็งที่แพร่กระจายมายังสมอง (metastatic brain tumor)
                 นอกจากนั้น อาจแบ่งชนิดตามความเป็นเนื้อร้ายของเซลล์ ถ้าเป็นเซลล์ที่ไม่มีความเป็นมะเร็ง ก็จะเป็นเนื้องอกสมองชนิดธรรมดา (benign brain tumor) ส่วนใหญ่ ประมาณ 2 ใน 3 ของเนื้องอกสมองทั้งหมด เป็นเนื้องอกสมองชนิดธรรมดานี้ ซึ่งจะไม่ลุกลามสู่เนื้อเยื่อข้างเคียงและไม่แพร่กระจายไปยังที่อื่น แต่ก็สามารถทำให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของสมองได้ ขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของเนื้องอกสมอง และส่วนใหญ่หลังจากผ่าตัดเอาเนื้องอกสมองชนิดธรรมดานี้ออกไปแล้ว ก็มักจะไม่กลับมาเป็นใหม่อีก ในทางตรงกันข้าม ถ้าเซลล์เนื้องอกสมองนั้นเป็นมะเร็ง ก็จะเรียกว่า เนื้อร้ายหรือมะเร็งในสมอง (malignant brain tumor) ซึ่งเซลล์มะเร็งนี้มักจะลุกลามแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้เคียง และสามารถกลับมาเป็นใหม่ได้ง่ายหลังการรักษา
อาการของเนื้องอกสมอง
                 ผู้ป่วยที่เป็นเนื้องอกสมองอาจมีอาการและอาการแสดงได้หลาย ๆ อย่าง ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง ขนาด การขยายขนาดของเนื้องอกสมอง ในบางครั้งผู้ป่วยอาจไม่มีอาการอะไรเลยตอนที่ตรวจพบเนื้องอกสมองก็ได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว อาการที่พบบ่อย ๆ ของเนื้องอกสมอง คือ
-ปวดศีรษะที่ไม่หายไปสักที
-ชัก
-แขน ขาอ่อนแรง
-วิงเวียนศีรษะ
-การเคลื่อนไหวของแขน ขาผิดปกติ ไม่ราบรื่น
-สายตามัวลงหรือเห็นภาพซ้อน
-อาเจียน
-พูดจาติด ๆ ขัด ๆ หรือความเข้าใจภาษาผิดปกติ
-บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง
-ความจำเสื่อม
ถ้าท่านมีอาการที่สงสัยว่าอาจจะเป็นเนื้องอกสมอง กรุณาติดต่อแพทย์โดยเร็ว
การวินิจฉัย
                 การวินิจฉัยโรคเนื้องอกสมองเป็นกระบวนสืบค้นโรคที่ค่อนข้างซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์หลายสาขา ในตอนแรก แพทย์อาจถามเกี่ยวกับอาการที่เป็น และตรวจร่างกายเพื่อหาอาการแสดงที่ผิดปกติ หลังจากนั้นอาจจะเจาะเลือดและส่งสแกนสมอง

               การถ่ายภาพรังสีของสมอง: เพื่อวินิจฉัยว่ามีเนื้องอกสมองหรือไม่ หรืออยู่ตรงตำแหน่งใดในสมอง แพทย์จะส่งถ่ายภาพรังสีของสมอง หรือที่มักเรียกกันว่า “สแกน” ซึ่งอาจเป็น ซีที สแกน (CT scan – computerized tomography) หรือ เอ็มอาร์ไอ สแกน (MRI – magnetic resonance imaging) โดย CT จะเป็นการใช้รังสีเอกซเรย์ถ่ายภาพในมุมต่าง ๆ แล้วใช้คอมพิวเตอร์ในการวิเคราะห์และสร้างภาพถ่ายของสมองออกมา ในขณะที่ MRI จะสร้างภาพโดยการใช้หลักการของสนามแม่เหล็ก ปกติแล้วแพทย์มักส่งสแกนด้วย CT ก่อน เพราะง่ายและรวดเร็วกว่า อย่างไรก็ตาม ถ้าแพทย์ต้องการรายละเอียดที่มากขึ้น อาจต้องส่ง MRI เพิ่ม ซึ่ง MRI นั้นจะใช้เวลาในการสแกนนานกว่า (ในบางครั้งอาจถึง 2 ชั่วโมง) และอาจทำให้ผู้ป่วยเบื่อและรำคาญมาก เนื่องจากผู้ป่วยต้องไปนอนนิ่ง ๆ ในเครื่องสแกนที่แคบและเสียงดังเป็นระยะเวลานาน
                การตัดชิ้นเนื้อมาตรวจ (Biopsy): ในบางครั้งการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจก็มีความจำเป็น เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แน่นอนว่าเป็นเนื้องอกชนิดใด แพทย์จะได้วางแผนในการรักษาขั้นต่อไปได้อย่างเหมาะสม ในการตัดชิ้นเนื้อมาตรวจนั้น แพทย์ต้องทำการผ่าตัดสอดเข็มผ่านกะโหลกศีรษะเข้าไปในเนื้องอกอย่างแม่นยำ แล้วตัดชิ้นเนื้องอกเล็ก ๆ ออกมาเพื่อส่งตรวจวิเคราะห์เซลล์เนื้องอกต่อไป ในบางครั้งอาจทำร่วมกับการทำผ่าตัดเอาเนื้องอกสมองออก การตัดชิ้นเนื้องอกส่งตรวจนี้ถือเป็นการผ่าตัดเล็ก ๆ แต่ก็มีอาจมีผลแทรกซ้อนต่อเนื้อสมองได้เช่นกัน
                การเจาะเลือดตรวจทางห้องปฏิบัติการ: เนื้องอกสมองบางชนิดหลั่งฮอร์โมนหรือสารเคมีบางอย่างออกมาที่เราเรียกว่า “tumor marker” ทำให้แพทย์สามารถบอกชนิดของเนื้องอกสมอง และทำให้แพทย์สามารถใช้ tumor marker นี้ในการติดตามการรักษาได้
การรักษา
                 การรักษานื้องอกสมองมีตั้งแต่การรักษาทางยา การให้เคมีบำบัด (คีโม) การให้รังสีรักษา (ฉายแสง) การผ่าตัดเนื้องอกสมอง หรือใช้การรักษาหลาย ๆ อย่างร่วมกัน การรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น ชนิด ขนาด และตำแหน่งของเนื้องอกในสมอง อายุ และสภาพความแข็งแรงของผู้ป่วย โดยทั่วไปแล้วจะมีการประชุมแพทย์หลาย ๆ แขนงเป็นสหสาขาวิชาชีพ (multidisciplinary) เช่น ศัลยแพทย์ระบบสมองและประสาท อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา แพทย์กายภาพบำบัด นักกายภาพบำบัด พยาบาลระบบประสาท และอื่น ๆ เพื่อร่วมกันวางแผนการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
การผ่าตัด
                 ส่วนใหญ่เนื้องอกสมองจำเป็นต้องใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อเอาเนื้องอกสมองออก ถ้าเป็นไปได้ ศัลยแพทย์จะพยายามเอาก้อนเนื้องอกออกให้หมด เพราะถ้าเป็นเนื้องอกสมองชนิดธรรมดาแล้ว การผ่าตัดเอาเนื้องอกสมองออกหมดหมายถึงสามารถรักษาให้หายขาด โอกาสกลับมาเป็นอีกน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ถ้าอันตรายเกินไปในการเอาเนื้องอกออกทั้งหมด ศัลยแพทย์อาจพิจารณาเหลือก้อนเนื้องอกสมองบางส่วนเอาไว้ แล้วรักษาด้วยวิธีการให้คีโมหรือฉายแสงต่อไป ในบางครั้ง ก้อนเนื้องอกอาจอยู่ในส่วนลึกของสมอง การผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกสมองออกอาจทำให้เกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อสมอง แพทย์อาจพิจารณาทำการสอดเข็มเพื่อตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ ซึ่งอาจทำได้อย่างแม่นยำโดยใช้ระบบนำวิถี (navigator system) ชิ้นเนื้อที่ได้นี้จะถูกส่งห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์ดูเซลล์ของเนื้องอก จะได้วางแผนในการรักษาขั้นต่อไป
การให้รังสีรักษา
                 การให้รังสีรักษา หรือที่มักเรียกกันว่า การฉายแสง คือ การใช้รังสีที่เข้มข้นในการทำลายเซลล์เนื้องอก หรือเพื่อหยุดยั้งการเติบโตของเซลล์เนื้องอก หรือบ่อยครั้งที่ใช้กับเนื้องอกสมองที่ยังหลงเหลืออยู่หลังการผ่าตัด การให้รังสีรักษานี้ต้องให้เป็นระยะเวลาหนึ่ง อาจใช้เวลาเป็นหลายสัปดาห์กว่าที่เซลล์เนื้องอกจะเริ่มตาย แต่หลังจากนั้นเซลล์เนื้องอกก็จะตายหรือหยุดการเจริญเติบโตต่อไปเป็นเดือน ๆ หรือเป็นปีหลังการให้รังสีรักษา ปัญหาหลักของการให้รังสีรักษาก็คือ เราไม่สามารถฉายรังสีไปที่เนื้องอกโดยไม่โดนเนื้อเยื่อปกติที่อยู่รอบ ๆ เนื้องอกได้ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอันเกิดมาจากเนื้อเยื่อปกติที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้รับรังสีร่วมไปด้วย ได้แก่ ภาวะสมองบวม ผมร่วง ผิวหนัง(ศีรษะ) แห้งและคัน ภาวะสมองเสื่อม (ความคิดอ่านและความจำเสื่อมลง) อารมณ์และพฤติกรรมแปรปรวน ภาวะเหนื่อยและอ่อนแรง เป็นต้น ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้อาจเกิดตั้งแต่เริ่มฉายรังสี หรือเกิดตามมาในภายหลังก็ได้ (มักเริ่มเกิด 2-3 สัปดาห์ หลังเริ่มการฉายรังสี) ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น ความเข้มของรังสีที่ใช้ ความถี่ของการฉายรังสี หรือสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้มักจะค่อย ๆ ดีขึ้นหลังหยุดการฉายรังสีไปประมาณ 3-4 สัปดาห์
การให้เคมีบำบัด
                 การให้เคมีบำบัด หรือที่มักเรียกกันว่า คีโม คือ การให้ยาที่มีฤทธิ์ในการฆ่าหรือหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ยาเคมีบำบัดนี้จะไปแทรกแซงวงจรชีวิต (life cycle) ของเซลล์ เซลล์มะเร็งมีวงจรชีวิตสั้น มีการแบ่งตัวเร็ว ยาเคมีบำบัดจึงมีผลต่อเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายไปได้ อย่างไรก็ตาม เซลล์ร่างกายปกติที่มีวงจรชีวิตสั้น มีการแบ่งตัวเร็ว ก็จะโดนผลกระทบไปด้วย ที่สำคัญได้แก่ ไขกระดูกที่สร้างเซลล์เม็ดเลือด ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงมีจำนวนลดลง (เกิดภาวะโลหิตจาง) เซลล์เม็ดเลือดขาวลดลง (เกิดภาวะภูมิต่ำ ติดเชื้อง่าย) และเกล็ดเลือดต่ำ (เกิดภาวะเลือดออกง่าย); เซลล์ที่บุผนังทางเดินอาหาร (ทำให้เกิดแผลในปาก ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน) และเซลล์ต่อมขน (ทำให้ผมร่วง) โดยทั่วไปแล้ว การให้เคมีบำบัดจะให้เป็น cycle โดยจะมีระยะพักระหว่าง cycle เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้ การให้เคมีบำบัดอาจให้ทางปาก ทางหลอดเลือดดำ ทางน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง (โดยผ่านทางการเจาะหลัง) หรือให้ไปที่เนื้องอกสมองโดยตรงในระหว่างการผ่าตัดก็ได้ การให้เคมีบำบัดในเนื้องอกสมองนี้ ไม่ใช่เป็นการรักษาเพื่อให้หายขาด แต่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีอายุยืนยาวขึ้นได้ ในบางรายสามารถอยู่ต่อได้อีกหลายปีแม้จะเป็นมะเร็ง
บทสรุป
                 เนื้องอกสมอง หมายถึง การเจริญเติบโตอย่างผิดปกติของเนื้อเยื่อสมองเอง หรือเนื้อเยื่อที่อยู่ข้างเคียงกับสมองก็ได้ เช่น เยื่อหุ้มสมอง, กะโหลกศีรษะ จนเกิดเป็นก้อน ซึ่งส่งผลต่อการทำงานปกติของสมอง เนื้องอกสมองมีมากมายหลายชนิดขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์เนื้องอกที่เป็น สามารถรักษาได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด การให้รังสีรักษา(ฉายแสง) การให้เคมีบำบัด (คีโม) หรือใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกัน ศัลยแพทย์ระบบประสาทและสมองร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์สหสาขาวิชาชีพจะวางแผนร่วมกันในการรักษาผู้ป่วยแต่ละรายเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด
                 "อย่างไรก็ดี เนื้องอกในสมองเป็นอาการที่พบได้ไม่ว่าจะเพศใดหรืออายุเท่าไรก็ตาม เมื่อเป็นเนื้องอกในสมองแล้ว ผู้ป่วยควรเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ และควรได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องไม่ตื่นตระหนกและกังวลมากจนเกินไป"


ขอขอบคุณ : นพ.สุทธิกร ตัณฑ์ไพโรจน์ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและระบบประสาท
ศูนย์แห่งความเป็นเลิศด้านโรคสมองและระบบประสาท | โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : https://www.bangkokhospital-chiangmai.com/