ใช้แอสไพรินทุกวันลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในผู้ที่อายุไม่เกิน 70 ปี

HealthDay News

การศึกษาครั้งใหม่แสดงว่า ยาแอสไพรินขนาดยาต่ำอาจช่วยผู้ป่วยบางรายลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ แต่ไม่ได้ผลถ้ารอจนอายุ 70 ปีขึ้นไป
          นักวิจัยพบว่า เมื่อเริ่มใช้ยาแอสไพรินในวัย 50 หรือ 60 ปี ความเสี่ยงของผู้ใช้ยาที่จะเป็นโรคมะเร็งลำไส้หลังอายุ 70 ปี ลดลงร้อยละ 20
          อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นในกลุ่มผู้ที่เริ่มใช้ยาแอสไพรินตั้งแต่อายุ 70 ปีขึ้นไป ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ไม่มีใครบอกว่าผู้ที่อยู่ในวัยกลางคนทุกคนควรจะรีบหายาแอสไพรินขนาดต่ำมารับประทาน
         ในความเป็นจริง U.S. Preventive Services Task Force แนะนำว่า ยาแอสไพรินขนาดยาต่ำ (ปกติ 81 มก.ต่อวัน) สำหรับประชากรกลุ่มเดียว คือ ผู้ที่อยู่ในวัย 50 ปี ที่มีความเสี่ยงอย่างน้อยร้อยละ 10 ที่จะเป็นโรคหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมองในอีก 10 ปีข้างหน้า
         เหตุผลในเรื่องนี้ คือ การใช้ยาแอสไพรินในระยะยาวจะทำให้มีความเสี่ยงต่อการตกเลือดในทางเดินอาหารหรือสมองได้ แต่สำหรับผู้ใหญ่ในวัยกลางคน ความเสี่ยงนี้มีน้ำหนักน้อยกว่าประโยชน์ที่จะได้รับ เช่น ลดโอกาสที่จะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
         สำหรับผู้สูงอายุ ประโยชน์ของการเริ่มใช้ยาแอสไพรินมีความชัดเจนน้อยกว่า ดังนั้น คณะผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่รัฐบาลให้ทุนสนับสนุน จึงแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในวัย 60 ปี ปรึกษากับแพทย์ถึงข้อดีและข้อเสียของการใช้ยา
          สำหรับผู้ที่อยู่ในวัย 70 ปี คำถามเรื่องยาแอนไพรินจะคลุมเครือยิ่งกว่า
          และการทดลองทางคลินิกในปี 2018 ได้เพิ่มความกังวลต่อความเสี่ยงมากขึ้น โดยพบว่าผู้ที่อยู่ในวัย 70 ปีขึ้นไป ซึ่งได้รับการสุ่มให้ใช้ยาแอสไพรินขนาดยาต่ำมีโอกาสที่จะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่มากกว่าผู้ที่ไม่ใช้ยา
          สำหรับเรื่องนี้ยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน Dr.Andrew Chan ผู้เขียนรายงานการศึกษา ซึ่งเป็นแพทย์ระบบทางเดินอาหารที่ Massachusetts General Hospital ในบอสตัน กล่าว
          “ผลการศึกษานี้น่าสนใจมาก” เขากล่าวและว่า “เราคาดหวังว่าความเสี่ยงจะลดลง”
          การค้นพบจากการทดลองได้ทำให้เกิดคำถามหลายประการ รวมทั้ง “การเริ่มใช้ยาแอสไพรินหลังอายุ 70 ปี จะมีปัญหาหรือไม่ หรือจะมีปัญหากับการใช้ยาในวัยดังกล่าวหรือไม่”
          ข้อแนะนำของคณะทำงานกล่าวถึงเวลาที่จะเริ่มใช้ยาแอสไพรินในขนาดยาต่ำ แต่ไม่ได้บอกว่าให้หยุดใช้ได้เมื่อไร Dr.Chan กล่าว
          เขากล่าวว่า คำถามเหล่านี้กระตุ้นให้มีการศึกษาครั้งใหม่
         การค้นพบครั้งนี้ซึ่งได้เผยแพร่ในวารสาร JAMA Oncology ดำเนินการศึกษาผู้ประกอบวิชาชีพด้านการดูแลสุขภาพมากกว่า 94,500 คน ซึ่งได้รับการติดตามผลตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ระหว่างเวลานั้น มีผู้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ 1,431 คน
          โดยเฉลี่ย คณะทำงานวิจัยของ Dr.Chan พบผู้ที่ใช้ยาแอสไพรินเป็นประจำมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่น้อยลงร้อยละ 20 เมื่ออายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป พร้อมกันนั้นยังนำปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาด้วย เช่น อาหารที่รับประทาน ระดับการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และน้ำหนักตัว
          อย่างไรก็ตาม ประโยชน์จะปรากฏในผู้ที่เริ่มใช้ยาแอสไพรินก่อนอายุ 70 ปีเท่านั้น
          การค้นพบนี้มีเหตุผลอยู่ Dr. David Greenwald แพทย์ทางเดินอาหารและศาสตราจารย์ที่คณะแพทยศาสตร์แห่ง Mount Sinai ในนครนิวยอร์ก กล่าว
เขาบอกว่ามีหลักฐานที่แสดงว่าการใช้ยาแอสไพริน 10 ถึง 20 ปี ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
          “คิดว่าเรื่องนี้มีนัยว่า สำหรับผู้ที่เริ่มใช้ยาในวัย 70 ปี จะไม่มีเวลาเพียงพอที่จะเห็นผล” Dr.Greenwald ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษาครั้งนี้ กล่าว
          Dr.Chan บอกว่า ยังมีความเป็นไปได้ว่า ยาแอสไพรินมีผลทางชีวภาพที่แตกต่างกันในวัยต่าง ๆ เพราะผู้ใหญ่สูงวัยตอบสนองต่อยาแตกต่างออกไป หรือมะเร็งในผู้สูงวัยแตกต่างจากมะเร็งในผู้ที่อายุน้อยกว่า หรือเป็นได้ทั้ง 2 เหตุผล
         คณะผู้วิจัยไม่ได้ทราบจริง ๆ ว่า ทำไมยาแอสไพรินจึงช่วยให้ไม่เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่อาจจะมาจากผลของยาในการต้านการอักเสบ
         ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดก็ตาม ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้ยาแอสไพรินขนาดยาต่ำ Dr.Greenwald แนะนำ
         “ยาแอสไพรินก่ออันตรายได้ ดังนั้น คุณจะต้องใช้ยานี้ ถ้ายามีประโยชน์กับคุณเท่านั้น”
          ผู้ที่เริ่มใช้ยาแอสไพรินในวัย 50 ปี สามารถใช้ยาต่อเนื่องเมื่ออายุมากขึ้น แต่ Dr. Greedwald กล่าวว่า ผู้ป่วยควรประเมินการใช้ยาเป็นระยะ ๆ กับแพทย์ของตน ความเสี่ยงที่จะตกเลือดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอายุและกับสภาวะของสุขภาพบางอย่าง หรือเนื่องจากปฏิสัมพันธ์กับยาอื่น ๆ ที่ผู้สูงอายุใช้กันทั่วไป
          Dr.Chan กล่าวว่า คนที่มองไม่เหมือนกันจะตีความประเด็นของประโยชน์กับความเสี่ยงแตกต่างกัน บางคนจะเห็นว่าความเสี่ยงของการมีเลือดออกในกระเพาะอาหารเป็นผลที่ควรคำนึงถึง ในขณะที่คนอื่น ๆ ไม่คิดเช่นนั้น