สมาธิสั้น

กรมการแพทย์ โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี แนะผู้ปกครองสังเกตลูกน้อย หากพบอาการขาดสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งที่ทำ ซุกซนมากกว่าเด็กปกติ พูดจาไม่หยุด และหุนหันพลันแล่น อาจเข้าข่ายโรคสมาธิสั้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างถูกวิธี
          นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคสมาธิสั้น (Attention-Deficit Hyperactivity Disorder ; ADHD) พบได้ตั้งแต่เด็กอายุ 4-5 ปีขึ้นไป และพบได้มากถึงร้อยละ 5 ในเด็กวัยเรียน สำหรับสาเหตุของโรคสมาธิสั้นเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน โดยมีปัจจัยหลัก คือ 1.ปัจจัยทางชีวภาพ ได้แก่ ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม ปัจจัยทางด้านระบบประสาท ซึ่งเกิดจากสารในสมองส่วนหน้า คือ โดพามีน (Dopamine) และนอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมพฤติกรรมและสมาธิมีการทำงานที่ลดลง การดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ของแม่ขณะตั้งครรภ์ ทารกที่คลอดก่อนกำหนด และมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ 2.ปัจจัยทางสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู ซึ่งทำให้เด็กมีอาการคล้ายโรคสมาธิสั้นมากขึ้น โดยการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ขาดระเบียบวินัย นอนดึก นอนน้อย และมีการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่นโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และโทรทัศน์เป็นเวลานาน จะทำให้เด็กขาดทักษะสังคมและการสื่อสาร รวมถึงอาจมีปัญหาพฤติกรรมรุนแรงที่เกิดจากการเลียนแบบสิ่งที่ดูจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์
          นพ.อดิศัย ภัตตาตั้ง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับวิธีการสังเกตอาการของลูกให้ดูอาการหลัก 2 ด้าน คือ 1. ขาดสมาธิ มีสมาธิสั้น ขี้ลืม ทำงานไม่สำเร็จ ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งตรงหน้า (ไม่รวมถึงการดูสื่ออิเล็กทรอนิกส์) 2. มีพฤติกรรมซุกซน นั่งไม่ติดที่ พูดมากหรือพูดโพล่ง และขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ซึ่งเด็กบางคนอาจมีอาการเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือมีทั้ง 2 กลุ่มอาการร่วมกันก็ได้ การรักษาโรคสมาธิสั้นจะประกอบด้วยการปรับพฤติกรรมโดยเฉพาะในเด็กเล็ก คือ มีการสอนให้เด็กรู้จักการอดทนและรอคอย มีการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ลดการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต้องใช้เวลานานและต้องทำอย่างสม่ำเสมอโดยมีแพทย์คอยให้คำปรึกษาในแต่ละขั้นตอน ผู้ป่วยในบางรายอาจมีการรักษาด้วยยารับประทานควบคู่กับการปรับพฤติกรรม (ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์) ทั้งนี้ ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตและติดตามอาการลูกอย่างใกล้ชิด หากพบอาการดังกล่าว สามารถพบจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น และกุมารแพทย์ทางด้านพัฒนาการและพฤติกรรมเพื่อทำการรักษาต่อไป