ยาคุมฉุกเฉิน ไม่สามารถป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์ได้

อย. เตือน ยาคุมฉุกเฉินใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เช่น ถุงยางรั่วหรือแตกขณะมีเพศสัมพันธ์ มีการนับระยะปลอดภัยผิด หรือลืมรับประทานยาคุมกำเนิดมากกว่า 3 วัน รวมถึงการถูกข่มขืน อย่าใช้ยาพร่ำเพรื่อ และไม่แนะนำให้ใช้แทนการคุมกำเนิดปกติ
          นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นวันวาเลนไทน์ ในเทศกาลวันแห่งความรักมักเกิดเหตุการณ์มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจ โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาวหลายรายหันมาใช้ยาคุมฉุกเฉิน ซึ่งยาคุมฉุกเฉินเป็นชนิดฮอร์โมนเดี่ยว มีส่วนประกอบของโปรเจสโตเจนปริมาณสูง มี 2 ขนาด คือ 0.75 มิลลิกรัม/เม็ด และ 1.5 มิลลิกรัม/เม็ด มีการใช้ได้ 2 แบบ คือ แบบที่หนึ่ง คือ รับประทานยาขนาด 0.75 มิลลิกรัม เร็วที่สุดหลังมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน และรับประทานเม็ดที่ 2 ภายใน 12 ชั่วโมงต่อมา แบบที่ 2 คือ รับประทานยาขนาด 1.5 มิลลิกรัม เร็วที่สุดหลังมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน หรือภายใน 72 ชั่วโมง การใช้ทั้ง 2 แบบ จะให้ผลไม่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินควรใช้ในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่น ๆ หรือมีความผิดพลาดจากการคุมกำเนิด เช่น ถุงยางรั่วหรือแตกขณะมีเพศสัมพันธ์ มีการนับระยะปลอดภัยผิด หรือลืมรับประทานยาคุมกำเนิดมากกว่า 3 วัน รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ยินยอม เช่น ถูกข่มขืน การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินควรใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เพราะแม้จะสามารถควบคุมการตั้งครรภ์ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่รับประทานจะปลอดภัยจากการตั้งครรภ์ 100% รวมถึงยาคุมฉุกเฉินไม่สามารถป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์ เช่น เอดส์ ผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉิน คือ ประจำเดือนมาไม่ปกติ เลือดออกกะปริบกะปรอย รู้สึกพะอืดพะอม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ มีอาการปวดท้องคล้ายกับตอนมีประจำเดือนได้ นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลกระทบต่อรังไข่และมดลูก รวมถึงกระตุ้นเซลล์มะเร็งได้
          รองเลขาธิการฯ กล่าวในตอนท้ายว่า ถึงแม้ยาคุมฉุกเฉินจะมีประสิทธิภาพดีในการป้องกันการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะถ้ารับประทานยาทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์ แต่ไม่แนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินแทนการคุมกำเนิดปกติ เพราะขนาดของฮอร์โมนที่สูง ผลข้างเคียงของยา ตลอดจนความผิดปกติของรอบเดือนที่เกิดขึ้น อาการปวดเกร็งช่องท้องน้อย รวมทั้งไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ดังนั้น ควรเลือกใช้ในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น และหลังการใช้หากประจำเดือนมาไม่ปกติ ประจำเดือนขาด เลือดออกไม่หยุด หรือปวดท้องไม่ดีขึ้น ควรรีบมาพบแพทย์