เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2564 BoehringerIngelheim และ Eli Lilly แจ้งว่าสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (Food and Drug Administration) หรือ FDA ได้ให้การรับรอง empagliflozin(Jardiance) สำหรับใช้ในการรักษาคนไข้ heart failure (HF) with reduced ejection fraction หรือ HFrEFอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ไม่ว่าคนไข้จะเป็นหรือไม่ได้เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงของ cardiovascular (CV) death และ HF hospitalization
Empagliflozinนับเป็นยาตัวที่สองในกลุ่ม sodium glucose co-transporter 2 (SGLT2) inhibitors ที่ได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับใช้ในการรักษาคนไข้ HFrEFอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ไม่ว่าคนไข้จะเป็นหรือไม่ได้เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2โดยยาตัวแรกในกลุ่ม SGLT2 inhibitors ที่ได้รับการรับรองจาก FDA ไปก่อนหน้านี้ในปี 2020 ด้วยข้อบ่งใช้เดียวกันนี้ ก็คือ dapagliflozin สำหรับขนาดของ empagliflozin ที่ได้รับการรับรองจาก FDA ในข้อบ่งใช้นี้ คือ empagliflozinขนาด 10 มิลลิกรัม (tablet) รับประทานเพียงวันละครั้งในตอนเช้า ร่วมหรือไม่ร่วมกับอาหารก็ได้ โดยสามารถใช้ empagliflozin เป็น initial treatment ในคนไข้ HFrEFอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปที่มี estimated glomerular filtration rate (eGFR) ต่ำถึง 20 mL/min/1.73 m2
ข้อมูลสำคัญที่นำมาสู่การได้รับการรับรองจาก FDA ของempagliflozinในข้อบ่งใช้ล่าสุดดังกล่าว ก็คือผลลัพธ์จากการศึกษาทางคลินิกที่สำคัญของ empagliflozin ที่มีชื่อว่า EMPEROR-Reduced(Empagliflozin Outcome Trial inPatients with Chronic Heart Failure and a ReducedEjection Fraction) ซึ่งเป็น international multicenter, randomized, double-blind, parallel-group, placebo-controlled, and event-driven study ขนาดใหญ่ในคนไข้ HFrEFจำนวนทั้งสิ้น 3,730 คนอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เป็น chronic HF มีที่ New York Heart Association (NYHA) functional class II/III/IV และมี left ventricular ejection fraction (LVEF)เท่ากับหรือน้อยกว่า 40%คนไข้ส่วนใหญ่เหล่านี้ได้รับ optimized guideline-directed medical therapy (GDMT)สำหรับ HF อยู่แล้ว ซึ่งรวมถึงยากลุ่ม renin–angiotensin system (RAS) inhibitors และ beta-blockersคนไข้ถูกสุ่ม (1:1) ออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งจำนวน 1,863 คน ได้รับ empagliflozin 10 mg once daily ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งจำนวน 1,867 คน ได้รับ matching placebo โดยมี primary outcomeของการศึกษานี้อยู่ที่ composite of CV death และ HF hospitalization
ผลลัพธ์ของ EMPEROR-Reduced ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ New England Journal of Medicine (NEJM) ฉบับวันที่ 28 สิงหาคมปี 2020 แสดงให้เห็นว่าการให้empagliflozin เสริมเข้ากับ optimized GDMT สามารถลด primary composite endpoint of CV death or HFhospitalization ลงได้ถึง 25%, ลด total HF hospitalizations ลงได้ถึง 30% และลด renal events ลงได้ถึง 50% โดยผลการศึกษาจากการติดตามคนไข้เป็นเวลาเฉลี่ย 16 เดือน พบว่ามี primary outcome event เกิดขึ้นในคนไข้จำนวน 361 คน (19.4%) ของกลุ่มคนไข้ที่ได้รับ empagliflozin และในคนไข้จำนวน 462 คน (24.7%) ในกลุ่มคนไข้ที่ได้รับ placebo ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (hazard ratio for CV death or HF hospitalization, 0.75; 95% confidence interval [CI], 0.65 to 0.86; P<0.001)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลการศึกษาในแง่ของการลด HF hospitalization และ renal events พบว่ามี total number of HF hospitalizationsในกลุ่มคนไข้ที่ได้รับ empagliflozin ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับกลุ่มคนไข้ที่ได้รับ placebo (hazardratio= 0.70; 95% CI, 0.58 to 0.85; P<0.001)และมี annual rate of decline in the estimatedglomerular filtration rate ที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในกลุ่มคนไข้ที่ได้รับ empagliflozin เมื่อเทียบกับกลุ่มคนไข้ที่ได้รับ placebo (–0.55เทียบกับ –2.28 ml per minute per 1.73 m2 of body-surface areaper year, P<0.001) พร้อมกันนี้ ยังพบว่ามี adverse renal outcomes เกิดขึ้นในคนไข้ 30 คนในกลุ่มคนไข้ที่ได้รับ empagliflozin และในคนไข้ 58 คนในกลุ่มคนไข้ที่ได้รับ placebo ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (hazard ratio = 0.50; 95% CI 0.32–0.77; P<0.01)
ส่วนในแง่ผลของ empagliflozin ที่มีต่อคนไข้ HFrEFที่มีโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และที่ไม่มีโรคเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่า empagliflozinลดความเสี่ยงของ primary outcomeof CV death or HF hospitalization ได้ดีพอๆ กันทั้งในกลุ่มคนไข้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (hazard ratio= 0.72 [95% CI, 0.60–0.87]และในกลุ่มคนไข้ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (hazard ratio = 0.78 [95% CI, 0.64–0.97) (P-interaction=0.57)
สำหรับข้อมูลด้านความปลอดภัยที่สำคัญใน EMPEROR-Reduced พบว่ามีรายงานพบ uncomplicated genitourinary tract infectionsได้บ่อยกว่าในกลุ่มคนไข้ที่ได้รับ empagliflozin กล่าวคือ 1.3% เทียบกับ 0.4% ของกลุ่มคนไข้ที่ได้รับ placebo อย่างไรก็ตาม พบว่ามี frequency of hypotension, volume depletion และ hypoglycaemiaใกล้เคียงกันในทั้ง 2 กลุ่ม
แหล่งที่มาของข้อมูล: https://investor.lilly.com, www.boehringer-ingelheim.us, www.hcplive.com,www.ajmc.com, www.europeanpharmaceuticalreview.com