NSAIDs ลดใช้ยาปฏิชีวนะในโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน

BMJ 2017 Nov 8.

แม้ว่ายาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ diclofenac จะมีฤทธิ์น้อยกว่ายา norfloxacin ในการรักษาอาการ แต่ยา diclofenac ใช้ยาปฏิชีวนะน้อยกว่าอย่างชัดเจน
          โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infections: UTIs) เป็นรองเฉพาะโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเมื่อแสดงถึงการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ และการสั่งยาดังกล่าวมักจะมีส่วนทำให้เกิดการดื้อยา  โดยปกติผู้หญิงที่ได้รับการสันนิษฐานว่ามีโรค UTIs ในระดับต่ำ มักจะได้รับยาปฏิชีวนะ แม้ว่าบ่อยครั้งอาการนี้จะจำกัดตัวมันเองก็ตาม
          ในการทดลองเมื่อเร็ว ๆ นี้ ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs: NSAIDs) คือ ยา ibuprofen (เทียบกับยา fosfomycin ในการใช้รักษาครั้งแรกกับผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็น UTIs) ลดการใช้ยาปฏิชีวนะลง 2 ใน 3 และไม่มีความสัมพันธ์กับโรคแทรกซ้อนที่เพิ่มขึ้น เช่น กรวยไตอักเสบ (pyelonephritis) แต่มีความสัมพันธ์กับอาการที่หนักขึ้น (NEJM JW Gen Med Mar 1 2016 และ BMJ2015; 351:h6544)
          ปัจจุบันนักวิจัยได้สุ่มผู้หญิง 250 คน (อายุ 18-70 ปี) ให้รับยา NSAIDs diclofenac (75 mg) หรือยา norfloxacin (400 mg) วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 วัน  ผู้เข้าร่วมการศึกษายังได้รับยา fosfomycin แบบยาเดียว 3 g เป็น “ยาปฏิชีวนะช่วยอาการ” ถ้าอาการยังคงมีอยู่หลังจากเสร็จสิ้นการรักษาที่กำหนดไว้แล้ว
          การรักษาเยียวยาอาการในวันที่ 3 เกิดกับผู้ป่วยร้อยละ 54 ของกลุ่มที่ใช้ยา diclofenac และร้อยละ 80 ของกลุ่มที่ใช้ยา norfloxacin  ค่ามัธยฐานของระยะเวลาในการรักษาเยียวยาเท่ากับ 4 วัน ด้วยยา diclofenac และ 2 วัน ด้วยยา norfloxacin   การใช้ยาปฏิชีวนะใด ๆ ก่อนวันที่ 30 เกิดกับร้อยละ 62 ของกลุ่มที่ใช้ยา diclofenac และร้อยละ 98 ของกลุ่มที่ใช้ยา norfloxacin  ผู้รับยา diclofenac จำนวน 6 คน ป่วยเป็นโรคกรวยไตอักเสบ  ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับยา norfloxacin ไม่มีใครป่วยเป็นโรคดังกล่าว การเปรียบเทียบทั้งหมดนี้มีนัยสำคัญทางสถิติ
           ในการศึกษาครั้งนี้ ยา NSAIDs diclofenac ลดการใช้ยาปฏิชีวนะลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่มีฤทธิ์น้อยกว่ายา norfloxacin สำหรับการรักษาเยียวยาอาการในผู้หญิงที่เป็น UTIs ซึ่งไม่มีภาวะแทรกซ้อน  ยิ่งกว่านั้นยา dicofenac มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อโรคกรวยไตอักเสบ  โดยการทดลองยา ibuprofen–fosfomycin ก่อนหน้านี้ไม่ได้สังเกตพบผลดังกล่าว ผลการศึกษาข้างต้นอาจไม่จูงใจให้แพทย์ถอนยาปฏิชีวนะจากผู้หญิงที่มีอาการ UTIs น้อย อย่างไรก็ตาม การทดลองเหล่านี้แสดงถึงโอกาสที่จะลดการใช้ยาปฏิชีวนะในผู้ป่วยลงได้  บรรณาธิการได้ตัวอย่างการทดลองอีกชิ้นหนึ่ง (BMJ 2010; 340:c199)  และเสนอว่าแพทย์ควรสั่งยา ibuprofen (ไม่ใช่ diclofenac) และสั่งยาปฏิชีวนะที่ขยับเวลาออกไปด้วย ซึ่งจะช่วยให้ผู้หญิง “เข้าถึงยาปฏิชีวนะได้เร็ว ถ้าอาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง หรือมีอาการแย่ลง”  และวิธีดังกล่าวไม่ได้มีความเสี่ยงมากเกินไปสำหรับภาวะแทรกซ้อน