ชีวิตใหม่ไร้พุง...มากกว่าความมั่นใจคือสุขภาพดี

                                                                                                                                       โดย พญ.ขวัญนรา  เกตุวงศ์


                                                                                                               แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ศูนย์ศัลยกรรมผ่าตัด


                                                                                                                     ผ่านกล้องโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 อินเตอร์


คุณรู้หรือไม่ว่า โรคอ้วนเป็นโรคอย่างหนึ่ง เป็นโรคเหมือนกับโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคเอดส์หรือ โรคอื่นๆ แต่ที่น่าเห็นใจคือ คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยยังไม่เห็นว่าผู้ป่วยโรคอ้วนเป็นโรคดังนั้นเราจะมารู้จักกับโรคอ้วนกันค่ะ


โรคอ้วนหมายถึง สภาวะที่ร่างกายมีไขมันสะสมมากเกินไป จนส่งผลเสียต่อสุขภาพ สำหรับในคนเอเชียนั้น เราจะถือว่าอ้วน เมื่อมีค่าดัชนีมวลกาย ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป และถ้าสูงกว่า 30 จะถือว่าเป็นโรคอ้วนอันตราย โดยค่าดัชนีมวลกายหรือบีเอ็มไอ สามารถคํานวณได้จากอินเทอร์เน็ตโรคที่สัมพันธ์กับความอ้วน ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไขมันพอกตับ โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ ข้อเข่าเสื่อม โรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง เสี่ยงต่อหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย อัมพฤกษ์อัมพาต และอาจเสียชีวิตได้ โดยผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป ทุกๆ ค่าดัชนีมวลกายที่เพิ่มขึ้นครั้งละหนึ่ง จะทําให้ผู้ป่วยมีอายุขัยเฉลี่ยลดลง 8-10 ปีเทียบกับคนน้ำหนักปกติ


ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคอ้วนมากถึงประมาณ 9% ของประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 6 ล้านคนซึ่งสูงเป็นอันดับ2 ในอาเซียน รองจากมาเลเซีย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยสาเหตุนั้นมาจากลักษณะการใช้ชีวิตที่มีการขยับตัวน้อย ไม่ค่อยได้ออกกําลังกายและการรับประทานอาหารที่มีแป้งน้ำตาลและไขมันสูงสำหรับการรักษาโรคอ้วน ได้แก่ การคุมอาหาร โดยเน้นการทานโปรตีนเป็นหลัก หลีกเลี่ยง แป้ง น้ำตาลน้ำหวาน ของทอดและของมัน การออกกําลังกาย แบบการ์ดมากกว่า150 นาทีต่อสัปดาห์หรือการเดินให้เกิน 10,000 ก้าวต่อวัน  การใช้ยาลดน้ำหนัก ภายใต้การดูแลของแพทย์และการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอสำหรับผู้ป่วยโรคอ้วนอันตรายนั้น จะมีฮอร์โมน สารเคมีและระบบการควบคุมความหิวอิ่มในร่างกายแตกต่างจากคนน้ำหนักปกติทําให้การลดน้ำหนักด้วยการปรับลักษณะการใช้ชีวิต เช่น การออกกําลังกายและคุมอาหาร มีโอกาสสำเร็จเพียงแค่ 3% เท่านั้น สำเร็จในที่นี้หมายถึง คนที่น้ำหนัก 150 กิโลกรัม จะลดลงเหลือ 75 กิโลกรัมได้ในระยะเวลาหนึ่งปีนั้นทําได้ยากเพราะน้ำหนักเยอะ หัวเข่ามีปัญหาไม่สามารถออกกําลังกายหนักๆได้ แค่เดินก็เหนื่อยแล้วและระบบควบคุมความหิวอิ่มของร่างกายเป็นต้นในช่วง30 ปีที่ผ่านมา ผลการศึกษาชัดเจนว่าคนที่เป็นโรคอ้วนอันตรายที่มีดัชนีมวลกายตั้งแต่ 32.5 ขึ้นไป ร่วมกับมีโรคประจําตัว หรือผู้ที่ไม่มีโรคประจําตัว แต่มีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 37.5 ขึ้นไป ที่ได้พยายามออกกําลังกายและคุมอาหารแล้ว แต่ว่าน้ำหนักไม่ลดลงหรือลงเพียงเล็กน้อย จะสามารถลดน้ำหนักส่วนเกินลงได้ 50 - 60% จากการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อรักษาโรคอ้วนอันตรายการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อรักษาโรคอ้วนอันตราย เป็นการผ่าตัดเพื่อลดขนาดกระเพาะอาหารและหรือลดการดูดซึมสารอาหาร และยังมีการตัดกระเพาะอาหารส่วนที่คอยสร้างฮอร์โมนหิวออกไปด้วยทําให้หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะรับประทานอาหารได้น้อยลง โดยที่ไม่รู้สึกหิวหรือรู้สึกหิวน้อยลงทําให้น้ำหนักลดลงได้ด้วยการการผ่าตัดแบบส่องกล้อง แผลเล็กและฟื้นตัวไว


อย่างไรก็ตามหลังการผ่าตัดก็ต้องอาศัยนิสัยของผู้ป่วยในการเลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์และออกกําลังกายเป็นประจํา เพื่อให้น้ำหนักลดลงได้เป็นอย่างดีจนกลายเป็นน้ำหนักของคนปกติและสุขภาพดีโดยการผ่าตัดจะสามารถรักษาโรคร่วมต่างๆ ที่สัมพันธ์กับโรคอ้วนได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคเกาท์โรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ เป็นต้นทําให้หลังการผ่าตัดผู้ป่วยส่วนใหญ่ สามารถหยุดยาโรคประจําตัวหรือลดยาที่รับประทานลงได้ สุดท้ายนี้การเลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ การออกกําลังกายเป็นประจําและการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ก็ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการลดน้ำหนัก และทําให้มีสุขภาพดีแบบยั่งยืนหากต้องการติดต่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาน้ำหนักตัวเกินหรือภาวะโรคอ้วน ติดต่อโทรศัพท์ 095-371-6796, 02-033-2900 ต่อ 1175 และ 1160