รู้จัก โรคแพนิค (Panic Disorder) และ PANIC ATTACK ภาวะกังวลที่อันตรายกว่าที่คาดคิด

พญ.พรทิพย์ ศรีโสภิต
ผู้ชำนาญการด้านจิตเวชศาสตร์ โรงพยาบาลพระรามเก้า

เคยไหมกับการเตรียมตัวเต็มพิกัดก่อนออกไปเผชิญโลกภายนอก แต่พอกลับมาจู่ ๆ ก็มีอาการระคายคอ ไอแห้ง ๆ จากร่างกายสบายเต็มร้อยกลับรู้สึกอ่อนเพลียไม่มีเหตุผล จนอดคิดไม่ได้ว่าเราออกไปเจออะไรมา หรือ #เราติดยังน๊า!?!
          แม้ว่าจริง ๆ แล้วสภาพร่างกายของเรายังสามารถโต้รุ่งดูซีรีส์ได้ทั้งคืนเหมือนปกติ แต่ความกังวลที่ก่อเกิดนั้นมันบอกให้เราอุดอู้อยู่แต่บนเตียง พร้อมนึกไปสารพัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาการนี้อธิบายตามภาษาโรคได้ง่าย ๆ ว่าเรากำลังเกิดภาวะ โรคแพนิค (Panic Disorder) อยู่นั่นเองโรคแพนิคไม่ใช่โรคที่ทำให้เกิดอาการน่ากังวล แต่ความกังวลต่างหากที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคนี้ขึ้น ปฏิกิริยาแรกที่เกิดคืออาการตื่นตระหนก ตกใจกลัว ทั้งโรคนี้ยังเกิดได้จากหลายสาเหตุ ใกล้ตัวหลายคนที่สุดคงเป็นบรรดาความเครียดที่ถาโถมเข้ามาต่อเนื่องไม่หยุดพัก ตัวอย่างเช่น ความเร่งรีบในชีวิต การอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือจอมือถือเป็นเวลานาน พักผ่อนน้อย ไม่ออกกำลัง หรือแม้แต่คำสั่งล็อกดาวน์ ก็อาจมีส่วนเป็นเหตุของโรคแพนิคได้เช่นกัน และถ้าไม่นับสาเหตุจากความเครียดแล้ว ผลกระทบที่เกิดกับจิตใจอย่างรุนแรง เช่น การสูญเสีย ความผิดหวัง หรือเหตุการณ์รุนแรงอื่น ๆ ที่มากพอจะเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนได้ จนส่งผลต่อสารเคมีในสมองเสียสมดุลการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติไป ก็เป็นส่วนที่ก่อให้เกิดอาการแพนิคฉับพลันขึ้นได้เช่นกัน และอาจนับรวมถึงเหตุไกล ๆ ในปัจจัยด้านพันธุกรรม ที่ผู้ป่วยบางคนมีโอกาสเกิดโรคแพนิคได้มากกว่า เนื่องจากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรควิตกกังวลแล้วสรุปว่าอาการที่เป็นอยู่นี้ คือโรคแพนิคหรือโรคระบาดล่ะ?จริง ๆ แล้วในทางการแพทย์ก็มีแบบประเมินเบื้องต้นให้ลิสต์ดูว่าที่เป็นแพนิคอยู่หรือเปล่า แต่ก่อนที่จะเช็ค ขอแนะนำให้ผ่อนคลายร่างกายลงบ้างเล็กน้อย เพื่อไม่เพิ่มความกังวลให้กัดกินใจมากที่กว่าที่เป็นมีอาการใจสั่น ใจเต้นแรง หรือใจเต้นเร็วมากเหงื่อออกตัวสั่น มือเท้าสั่น

          - หายใจไม่อิ่ม หรือหายใจติดขัด
          - รู้สึกอึดอัด หรือแน่นอยู่ข้างใน
          - เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก
          - คลื่นไส้ ท้องไส้ปั่นป่วน
          - วิงเวียน โคลงเคลง มึนตื้อ หรือจะเป็นลม
          - ครั่นเนื้อครั่นตัว หนาวสั่น ร้อนวูบวาบ เหมือนจะเป็นไข้
          - รู้สึกชา หรือรู้สึกซ่า ๆ (paresthesia)
          - รู้สึกเหมือนสิ่งรอบตัวเปลี่ยนแปลงไป (derealization หรือ depersonalization)
          - กลัวคุมตัวเองไม่ได้ หรือกลัวเป็นบ้า
          - กลัวว่าตนเองกำลังจะตาย
           ในตอนต้นเราเล่าว่า โรคแพนิคไม่ใช่โรคที่ทำให้เกิดอาการน่ากังวล แต่มันจะเป็นอีกกรณีหนึ่ง หากผู้ป่วยมีอาการข้างต้นมากกว่า 4 อาการขึ้นไป รวมถึงอาการยังเกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยคาดการณ์ไม่ได้ และตามมาด้วยพฤติกรรมทางลบในหลาย ๆ ด้าน เช่น ควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่กล้าอยู่คนเดียว ไม่กล้าใช้ชีวิตประจำวันที่เคยทำเป็นประจำ ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คืออาการของ ‘PANIC ATTACK’ และที่น่ากังวลที่สุด คือ สิ่งนี้มักมาพร้อมกับอาการที่น่าเป็นห่วงอื่น ๆ ซ้ำยังมีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะเวลาราว 1 เดือน (หรือมากกว่านั้น) เช่น โรคกลัวที่ชุมชน (Agoraphobia), โรคกลัวเฉพาะอย่าง (Specific Phobia), โรคกลัวสังคม (Social Phobia) รวมถึงโรคทางจิตเวชอื่น ๆ เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ หรือแม้แต่กับโรคซึมเศร้า

          แม้อาการครึ่งหลังของโรคแพนิคจะเป็นสิ่งที่น่ากังวล (แบบน่ากังวลจริง ๆ) แต่ใช่ว่าโรคนี้จะไม่มีทางรักษา พญ.พรทิพย์ ศรีโสภิต ผู้ชำนาญการด้านจิตเวชศาสตร์ โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลว่า โดยทั่วไปโรคแพนิคจะแบ่งการรักษาออกเป็น 2 วิธี  วิธีแรก คือ การรักษาด้วยยา โดยใช้ตัวยาเข้าไปปรับสมดุลสารสื่อประสาทในสมอง ใช้เวลารักษาประมาณ 8-12 เดือน ขึ้นกับปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคในแต่ละตัวบุคคล
          อีกวิธีหนึ่ง คือ การรักษาทางใจ หรือการทำจิตบำบัดประเภทปรับความคิดและพฤติกรรม สามารถทำได้หลากหลายแบบ เช่น พยายามรู้เท่าทันอารมณ์และมีสติบอกกับตัวเองว่าอาการดังกล่าวเป็นเรื่องชั่วคราว สามารถหายได้ หรือใช้วิธีการฝึกฝนเพื่อรักษาอาการในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการฝึกคลายกล้ามเนื้อ การฝึกสมาธิ การฝึกคิดในทางบวก และฝึกหายใจในกรณีผู้มีอาการหายใจไม่อิ่ม โดยให้หายใจเข้า-ออกลึก ๆ ช้า ๆ เพื่อเบนความสนใจของอาการ และทำให้ร่างกายค่อย ๆ ปรับตัวจนเริ่มผ่อนคลายและอาการค่อย ๆ ดีขึ้น
         “โดยการรักษาโรคแพนิคให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด คือ ใช้วิธีการ 2 ด้าน ทั้งตัวยาและการรักษาจิตใจควบคู่กันไป พร้อมกับมีสติไม่แตกตื่นกับโรคมากเกินไป เพื่อให้ผู้ป่วยหลังการรักษากลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และไม่ต้องกังวลใจกับอาการนั้น ๆ อีกต่อไป” คุณหมอพรทิพย์ ให้ข้อมูลสรุป