ตลาดเสรีกัญชายังร้อนแรง โรงพยาบาลยันฮี เดินหน้าพัฒนา “ศูนย์รักษาโรคด้วยกัญชา” เน้นรักษาโรคนอนไม่หลับ โรคเครียด โรคทางจิต โรคสะเก็ดเงิน โดยทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่ผ่านการอบรมเรื่องของกัญชามาโดยเฉพาะ ตั้งเป้าต่อยอดพัฒนาการรักษาโรคให้มีความหลากหลาย ตลอดจนสกัดยาเพื่อใช้บรรเทาสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย พร้อมเตรียมทุ่มงบประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชาเพื่อสุขภาพ ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง และยาสมุนไพร พร้อมกับขยายพื้นที่เพื่อพัฒนาสายพันธุ์กัญชาเองในอนาคตอีกด้วย
นพ.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยันฮี เปิดเผยว่า “จากที่ภาครัฐฯ ได้ประกาศปลดล็อกให้สามารถนำส่วนของใบ กิ่ง ก้านและรากของผลิตภัณฑ์กัญชามาใช้ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งถือว่าไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่อนุญาตให้ใช้กัญชาอย่างถูกกฎหมาย เป็นผลทำให้ตลาดนี้กว้างมากขึ้น ประกอบกับที่โรงพยาบาลยันฮีได้ส่งทีมบุคลากรไปอบรมกัญชาทางการแพทย์อย่างจริงจัง ทำให้พบว่า ทั่วโลกต่างก็ให้ความสนใจ และเลือกใช้ยาและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชามาใช้ในการรักษาโรค เราจึงนำความรู้นั้นมาต่อยอด และพัฒนาเป็นแพทย์ทางเลือกเพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วย ผ่านศูนย์รักษาโรคด้วยกัญชาของโรงพยาบาลยันฮี
ศูนย์รักษาโรคด้วยกัญชาโรงพยาบาลยันฮี จะเน้นให้บริการรักษาโรคแก่ผู้ป่วยที่มีอาการนอนไม่หลับ โรคเครียด วิตกกังวล โรคทางจิต รวมถึงโรคผิวหนังเรื้อรัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน โดยมีทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่ผ่านการอบรมเรื่องของกัญชาโดยเฉพาะ ซึ่งมีความสามารถในการพัฒนาและต่อยอดจากกัญชาสู่ผลิตภัณฑ์ยาและอื่น ๆ ที่หลากหลายและปลอดภัย
ในอนาคตเราตั้งเป้าที่จะพัฒนาศูนย์รักษาโรคด้วยกัญชาแห่งนี้ ให้มีการรักษาและผลิตภัณฑ์การรักษาโรคที่มีความหลากหลายขึ้น อาทิ รักษาอาการที่เกิดจากผลข้างเคียงจาก Long Covid (ภาวะลองโควิด) , รักษาไมเกรน , รักษาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่มีผลข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัด ตลอดจนอาการนอนไม่หลับ, เครียด, วิตกกังวล โดยหลังจากนี้ เรามีเป้าหมายที่จะสกัดยาเพื่อใช้บรรเทาสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย รวมถึงการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ยาใช้ภายนอก เช่น สเปรย์กัญชาสำหรับคลายกล้ามเนื้อ ครีมผสมกัญชา และน้ำมันกัญชา เป็นต้น” นพ.สุพจน์ กล่าว
ทางด้าน นพ.สรรพสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา ผู้อำนวยการบริษัท ยาอินไทย จำกัด กล่าวว่า สำหรับผลิตภัณฑ์กัญชาที่ผลิตขึ้นนั้น ปัจจุบันเราแบ่งเป็นยาใช้ทั้งภายในและภายนอก โดยยาใช้ภายใน จะได้แก่ ยาราตรี, ยานิทรา, ยากัญชู, ยากัญซึม, น้ำมันกัญชาหยดใต้ลิ้น และยาดองกัญชา ส่วนยาใช้ภายนอกนั้น จะได้แก่ ยากัญเกา, กัญชาบาล์ม, กัญชาสเปรย์ และน้ำมันนวดกัญชา
นอกจากนี้ ยังมียันฮี ซีบีดี มอยเจอร์ไรเซอร์ มาส์ก และ ยันฮีน้ำกัญชาผสมวิตามิน กลิ่นลาเวนเดอร์ มิกซ์ เบอร์รี่ ที่ได้ร่วมมือกับทางโอสถสภา ซึ่งได้รับกระแสตอบรับค่อนข้างดีมาก ผู้บริโภคให้ความสนใจและมีการกลับมาซื้อซ้ำ เนื่องจากชอบในรสชาติและผลลัพธ์ที่ได้จากการดื่มยันฮีน้ำกัญชา ที่ช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกผ่อนคลาย หลับง่ายมากขึ้น ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราได้รับการบอกต่อไปอีก เกิดลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ขึ้นอย่างต่อเนื่อง มียอดขายและยอดสั่งซื้อมากกว่าที่เราคาดการณ์ไว้
ก่อนจะมาเป็นผลิตภัณฑ์ยันฮีทุกวันนี้ ทางทีมวิจัยของยันฮีต้องผ่านการคิดค้นและวิจัยมาหลายขั้นตอน ตั้งแต่การคัดเลือกใบกัญชาออร์แกนิค ต้องเป็นสายพันธุ์หางกระรอก ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุดที่ปลูกอย่างถูกต้องตามกฎหมายและปลอดภัย ผ่านกระบวนการสกัดแบบพิเศษเพื่อให้คงสารแคนนาบินอยด์ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยให้ผ่อนคลาย ลดความกังวลได้มากที่สุด”
นพ.สุพจน์ กล่าวเสริมว่า “เรามีแผนจะลงทุนเพิ่มด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชาเพื่อสุขภาพ ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง และยาสมุนไพร ด้วยงบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท โดยจะเน้นเรื่องเพิ่มศักยภาพการผลิตให้มากขึ้น เพื่อให้ทันต่อความต้องการผู้บริโภค โดยเฉพาะเครื่องสำอาง และยาสมุนไพร ซึ่งปัจจุบัน นอกจากการรับซื้อวัตถุดิบหลักจากชุมชนวิสาหกิจทั่วประเทศแล้ว เรายังเตรียมขยายพื้นที่เพื่อพัฒนาสายพันธุ์กัญชาเองอีกด้วย
และแม้ว่าปัจจุบันจะมีการปลดล๊อกเปิดให้ใช้กัญชาอย่างเสรีแล้ว แต่มีสิ่งที่ต้องพึงระวัง คือ ระหว่างนี้ ประเทศไทยเรายังไม่มีเครื่องมือทางกฎหมายที่รัดกุมพอ เพื่อที่จะมาควบคุมการใช้กัญชา เนื่องจากพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง ยังไม่ผ่านการพิจารณาของสภาฯ อย่างเป็นทางการ ดังนั้น จึงอาจมีคนจำนวนมากหันมาปลูกกัญชาตามบ้านเรือนและปลูกกันอย่างไม่จำกัดจำนวน โดยเฉพาะการปลูกเชิงพาณิชย์ ที่ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต และอาจมีคนนำบางส่วนของกัญชาไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น การใช้ช่อดอกกัญชาเพื่อนำมาเป็นยาสูบ โดยเฉพาะในเยาวชน ซึ่งเป็นกลุ่มเป็นต้องให้ความรู้ที่ถูกต้องกันต่อไป” นพ.สุพจน์ กล่าวทิ้งท้าย