สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยว่าปัจจุบันคนไทยป่วยเป็นมะเร็งตับมากอันดับ1 แต่ละปีมีผู้ป่วยมะเร็งตับและท่อน้ำดีรายใหม่ปีละ 22,200 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิตกว่า 16,288 คน ซึ่งมะเร็งตับที่พบมากในประเทศไทยมี 2 ชนิด คือ มะเร็งของเซลล์ตับและมะเร็งท่อน้ำดีตับ
ที่น่าสังเกตคือ ผู้ป่วยมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่ค่อยแสดงอาการ จะทราบก็ต่อเมื่อตรวจร่างกายและพบค่าตับผิดปกติ หรือตรวจพบการติดเชื้อ กระทั่งโรคดำเนินมาถึงระยะตับแข็งและส่งผลให้เกิดมะเร็งตับในที่สุด โดยร้อยละ 90 ของมะเร็งตับเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี!
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย อาทิ การดื่มสุรา การได้รับสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะสารอะฟลาท็อกซินซึ่งปนเปื้อนในถั่วลิสง ข้าวโพด พริกแห้ง ฯลฯ โรคทางพันธุกรรมและเมตาบอลิกต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ซึ่งทำให้เกิดไขมันเกาะตับนำไปสู่การเป็นตับแข็ง และการได้รับยาหรือสารเคมีบางชนิด เช่น การได้รับฮอร์โมนเพศชายเป็นเวลานาน เป็นต้น
แพทย์หญิงอุไรวรรณ สิมะพิเชฐ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ Internal Medicine-Gastroenterology ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง กล่าวว่า ไวรัสตับอักเสบมีทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดีและอี ( A – E) ชนิดที่พบในประเทศไทยมากคือ ชนิดบีและซี ซึ่งไวรัสทั้งสองชนิดนี้ มีโอกาสสูงที่ทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง ไปจนถึงตับแข็งและมะเร็งตับตามมา และเป็นสาเหตุสำคัญให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
“โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัสจะมีอาการคล้ายๆ กัน คือ ดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย ไม่มีแรง บวม มีน้ำในช่องท้อง ปวดชายโครงขวา ปวดกล้ามเนื้อและปวดข้อ ตับม้ามโต การที่จะแยกว่าเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดใดนั้น ต้องใช้วิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการจึงจะทราบ แต่ที่น่าสังเกตคือโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดอื่นๆ มักจะเป็นแบบเฉียบพลัน และจะหายได้ภายในเวลา 6 เดือน ถ้าหากมีอาการของโรคตับอักเสบเรื้อรังก็มักจะเกิดจากไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี”
ไวรัสตับอักเสบบีและซี สามารถติดต่อผ่านทางเลือด น้ำเชื้อและน้ำหลั่งอย่างอื่น เช่น น้ำเหลือง โดยสามารถรับเชื้อได้หลายวิธี ตั้งแต่การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การใช้เข็มสักตามตัวหรือสีที่ใช้สักตามตัวร่วมกัน การเจาะหู การใช้แปรงสีฟัน มีดโกน กรรไกรตัดเล็บร่วมกัน การติดเชื้อขณะคลอดจากแม่ที่มีเชื้อ ซึ่งกรณีนี้ถ้าแม่มีเชื้อลูกมีโอกาสได้รับเชื้อมากถึง 90% การถูกเข็มตำจากการทำงาน การสัมผัสกับเลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่ง โดยผ่านเข้าทางบาดแผล
อย่างไรก็ดี เชื้อนี้จะไม่ติดต่อกันทางลมหายใจ การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำด้วยกัน การให้นม และการจูบกัน (ถ้าปากไม่มีแผล)
อาการของโรค “ไวรัสตับอักเสบบี” แบ่งได้เป็น 2 ระยะ ระยะเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการภายใน 1-4 เดือนหลังติดเชื้อ กล่าวคือเป็นไข้ ตัวเหลืองตาเหลือง ปวดท้องใต้ชายโครงขวา อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ผื่น ปวดข้อ บางรายอาจมีอาการรุนแรง เนื่องจากเซลล์ตับถูกทำลายเป็นจำนวนมาก ในกรณีนี้อาจทำให้เกิดภาวะตับวายได้
อย่างไรก็ตาม อาการตับอักเสบระยะเฉียบพลันจะดีขึ้นใน 1-4 สัปดาห์ และจะหายเป็นปกติเมื่อร่างกายสามารถกำจัดและควบคุมเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ กรณีที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้หมด การดำเนินของโรคจะก้าวเข้าสู่ระยะเรื้อรัง ซึ่งในผู้ป่วยบางรายแม้ไม่มีอาการ ค่าการทำงานของตับอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ ดังนั้นก่อนแต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์ควรตรวจหาไวรัสตับอักเสบบีก่อน
การป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอับเสบบี แพทย์หญิงอุไรวรรณ กล่าวว่า สามารถทำได้ด้วยการฉีดวัคซีน โดยผู้ที่ควรฉีดวัคซีนมากที่สุดคือ เด็กแรกเกิด และผู้ที่อยู่ในครอบครัวที่เป็นพาหะ ควรตรวจเลือดเพื่อทราบถึงภาวะของการติดเชื้อก่อนการฉีดวัคซีน และการฉีดวัคซีนจะต้องฉีดให้ครบชุดจำนวน 3 เข็ม
ขณะที่ “ไวรัสตับอักเสบ ซี” นั้นเมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายจะแบ่งตัวและอาศัยอยู่ในตับ ระยะแรกทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งมักมีอาการไม่มาก โดยประมาณเกือบ 8% ของผู้ที่ได้รับเชื้อจะมีการติดเชื้อเรื้อรังและตามมาด้วยตับอักเสบแบบเรื้อรังแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผู้รับเชื้อไม่ทราบว่ามีตับอักเสบ กระทั่ง 30 ปีผ่านไป ตับที่ถูกทำลายมากขึ้นเริ่มมีอาการของตับแข็งปรากฏให้เห็น
ทั้งนี้ ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีประมาณ 15-20% อาจหายจากโรคได้เอง แต่ส่วนใหญ่ 75-85% จะเป็นเรื้อรัง ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาก็จะกลายเป็นโรคตับแข็ง มะเร็งตับ และเสียชีวิตในที่สุด
มะเร็งตับเป็นโรคที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วโลกและเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้มากที่สุดโรคหนึ่ง เมื่อเป็นแล้วจะลุกลามเป็น 2 เท่าภายในระยะเวลา 3-6 เดือน แพทย์หญิงอุไรวรรณ แนะนำว่า การรักษาที่ดีที่สุดคือ การป้องกันและตรวจคัดกรองหามะเร็งตับ เนื่องจาก 90% ของมะเร็งตับเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี ผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีและซี จึงควรต้องเข้ารับการตรวจการทำงานของตับและตรวจคัดกรองมะเร็งตับโดยการเจาะเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งตับ (alpha-fetoprotein) และตรวจอัลตร้าซาวนด์ตับทุก 3-6 เดือน
สำหรับผู้ที่เป็นพาหะหรือติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีจากการตรวจเลือดนั้น แม้ว่าร่างกายยังแข็งแรง แต่ควรให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตัวเพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง เพราะหากปล่อยไปถึงขั้นนั้นจะเสี่ยงกับอันตรายมากขึ้น และการรักษาจะยุ่งยากมากขึ้นด้วยเช่นกัน.