ม.มหิดล Griffith University ประเทศออสเตรเลีย สสส. และเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ร่วมวิจัยพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล หวังช่วยกอบกู้สถานการณ์โลก "Nutrition transition" เปลี่ยนรูปแบบการบริโภคของประชากรไทย

ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารของโลกไร้พรมแดน ทำให้ทุกคนทราบดีว่า การดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล นอกจากผลาญเงินแล้ว ยังทำลายสุขภาพ จึงได้มีการขับเคลื่อนมาตรการทางภาษีควบคุมสินค้าเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพื่อช่วยกอบกู้สถานการณ์ดังกล่าวกันทั่วโลก
          ทุกครั้งที่มีข่าวประกาศขึ้นภาษีสินค้า ทำให้ประชาชนต้องจ่ายเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ยังมีรายได้เท่าเดิม การตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น คือ ทางออกเดียวที่จะช่วยประคับประคองให้ทุกชีวิตยังคงไปต่อได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดรายจ่ายสำหรับเครื่องดื่มที่ทำลายสุขภาพ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ยังช่วยลดป่วยและค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ของประเทศได้อย่างมหาศาล
          ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สิรินทร์ยา พูลเกิด อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าศึกษาวิจัยพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลของประชากรไทยมาตั้งแต่ที่ประเทศไทยได้เริ่มประกาศมาตรการทางภาษีเพื่อควบคุมสินค้าประเภทเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เมื่อปี 2561 สนับสนุนโดยเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน จนปัจจุบันงานวิจัยได้ดำเนินการมาถึงเฟส 3 พร้อมสรุปผลความคืบหน้า
          จากการที่ได้มีการวางแผนขึ้นราคาสินค้าประเภทเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยตั้งเป้าหมายการขึ้นภาษีสินค้าประเภทดังกล่าวให้ได้ร้อยละ 20 ในปี 2568 นั้น พบว่า ในช่วงแรกยังไม่ค่อยส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค เนื่องจากสินค้าประเภทดังกล่าวยังคงขึ้นราคาไม่สูงมากนัก
          แต่หากมีการขึ้นภาษีให้ได้ตามเป้าหมาย ติดตามพฤติกรรมการบริโภค และประเมินผลกระทบทางสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และผลิตภัณฑ์ทดแทนเพิ่มมากขึ้น
          มหาวิทยาลัยมหิดล โดย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม (นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พจนา หันจางสิทธิ์) ได้ร่วมกับ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยกริฟฟิท (Griffith University) ประเทศออสเตรเลีย ทำการวิจัยภายใต้ "โครงการคาดประมาณผลกระทบทางสุขภาพจากมาตรการขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลในประเทศไทย"
โดยได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจาก กระทรวงสาธารณสุข และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และด้านข้อมูลจากการสำรวจของเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน การสำรวจสุขภาพประชาชนโดยการตรวจร่างกาย และฐานข้อมูล Euromonitor
          คาดการณ์ในระยะยาวว่า การขึ้นภาษีให้ได้ตามเป้าหมาย จะส่งผลให้สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพประชาชนของรัฐได้สูงถึง 156.2 ล้านบาทในปี 2587 หรืออีก 22 ปีข้างหน้า
          ซึ่งจากการสำรวจปริมาณการดื่มใน 16 ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลสูงเปรียบเทียบตั้งแต่ปี 2561 - 2564 พบว่า "เครื่องดื่มทางเลือก" ประเภทที่ไม่ใช่น้ำตาล ได้รับความนิยมสูงขึ้น นอกจากนี้ มาตรการทางภาษีของประเทศไทยยังได้รับคำชื่นชมและยกย่องจากนานาชาติ ในความเป็นผู้นำของประเทศและภูมิภาค ที่ใช้มาตรการทางการคลังเพื่อประโยชน์ทางสุขภาพของประชากรในประเทศ
          โดยทีมวิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดสถานการณ์ "Nutrition transition" หรือ "การส่งผ่านทางโภชนาการ" ที่นิยมรับประทานอาหารแบบตะวันตก เน้นอาหารพลังงาน อุดมไปด้วยไขมัน และน้ำตาล ที่โลกกำลังเผชิญได้ต่อไปในอนาคต
          ติดตามข่าวสารที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยมหิดลได้ที่ www.mahidol.ac.th


 

สัมภาษณ์ และเขียนข่าวโดย ฐิติรัตน์ เดชพรหม นักประชาสัมพันธ์ (ชำนาญการ)
งานสื่อสารองค์กร กองบริหารงานทั่วไป สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โทร. 0-2849-6210