กระทรวงสาธารณสุข เผยไทยสั่งซื้อวัคซีนโควิด 19 จำนวน 63 ล้านโดส ที่จะฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันระดับประเทศ ส่วนกระบวนการจัดหา เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่าตรวจสอบได้ วางแผนการฉีดให้แล้วเสร็จใน ภายในปี 2564
วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2564) ที่รัฐสภา กทม. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงข่าวเรื่องความคืบหน้าการบริหารการจัดการวัคซีนโควิด19ของประเทศไทย โดย นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้วางแผนจัดหาวัคซีนตั้งแต่เมษายน 2563 คำนึงถึงคุณภาพและความปลอดภัยเป็นอันดับแรก โดยรัฐบาลไทยได้จองและเตรียมให้บริการฉีดวัคซีนให้ประชาชนถึง 63 ล้านโดส จากแอสตราเซเนก้า 61ล้านโดสและซิโนแวค 2 ล้านโดส เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันระดับประเทศ วางแผนการฉีดให้แล้วเสร็จ ภายในปี 2564 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดและสามารถทำให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้
“ขณะนี้ประเทศไทยควบคุมโรคได้ดี จากความร่วมมือของภาครัฐและประชาชน ทำให้อัตราการเสียชีวิตและการแพร่กระจายโรคต่ำกว่าหลายประเทศ และวัคซีนถือเป็นอีกเครื่องมือที่เข้ามาช่วยควบคุมโรค การกระจายวัคซีนให้ครอบคลุมจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันระดับประเทศ ขอเชิญชวนประชาชนรับการฉีดวัคซีน เสริมกับมาตรการใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ สแกนไทยชนะ เพื่อช่วยกันลดการแพร่เชื้อต่อไป” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว
ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายให้คนไทยทุกคนได้รับวัคซีนโควิด19 ที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัย โดยมอบให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขวางแผนการฉีดวัคซีนตั้งแต่ปี 2563 เป้าหมายสำคัญ คือ 1.ลดอัตราการป่วยและเสียชีวิต ซึ่งวัคซีนของแอสตราเซเนก้าและซิโนแวค ได้ผ่านการพิสูจน์เรียบร้อยแล้วว่าช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดการเสียชีวิตของประชาชน 2.เพื่อปกป้องระบบสุขภาพของประเทศ ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ จัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงจากการทำงาน และ3.เพื่อให้คนไทยกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติและเกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจฟื้นฟูการท่องเที่ยวของประเทศไทย ตั้งเป้าฉีดให้ครอบคลุมคนไทยมากที่สุด เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศและจะไม่เกิดการระบาดของโรคต่อไป
ทั้งนี้ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายในการฉีด มี 3 ระยะ ได้แก่ ระยะแรก ที่มีวัคซีนปริมาณจำกัด ซึ่งไทยจะได้รับวัคซีนเชื้อตายจากประเทศจีน ภายในเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อผ่านการควบคุมคุณภาพและตรวจสอบความปลอดภัยจาก อย. และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้ว จะฉีดให้กับคนไทยทันที โดยกลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มบุคคลเสี่ยง ได้แก่ ประชาชนผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเมื่อติดเชื้อแล้วอาจมีอาการป่วยและตายสูง,กลุ่มคนในพื้นที่เสี่ยงได้แก่ จ.สมุทรสาคร กรุงเทพฯ ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ รวม 5 จังหวัด และกลุ่มอาชีพเสี่ยงได้แก่ บุคลากรทางสาธารณสุข หรืออาชีพที่ต้องพบปะกับชาวต่างชาติ เช่น ผู้ที่ต้องทำงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ผู้ที่ต้องพบปะคนหมู่มาก คนที่ต้องเดินทางระหว่างประเทศโดย จะฉีดให้ในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน โดย 2 ล้านโดสแรก จะฉีดระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ส่วนระยะที่ 2 เมื่อมีวัคซีนมากขึ้น และระยะที่ 3 เมื่อมีวัคซีนอย่างกว้างขวางจะเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ได้เร็วที่สุด
ทั้งนี้ หากได้วัคซีนเข้ามาตามแผนที่วางไว้ ได้กำหนดการฉีด 10 ล้านโดสต่อเดือน จะเริ่มฉีดตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นที่โรงพยาบาลศูนย์ /โรงพยาบาลทั่วไป /โรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชน/โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลรัฐอื่นๆ ทำให้กระบวนการสร้างภูมิคุ้มกันของประเทศครบถ้วนภายในปี 2564 โดยมีคณะกรรมการฯ ดูแลทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดเก็บ กระจาย จัดฉีด และการติดตามผลข้างเคียงหลังได้รับวัคซีน มีการซักซ้อมการดำเนินงานเรียบร้อยแล้ว ส่วนกรณีพบการเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิต จะมีการเยียวยาตามมาตรา 41 ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทุกขั้นตอนเป็นไปตามหลักวิชาการทางการแพทย์สาธารณสุขและหลักสากล
ด้าน นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยมีการวางแผนจัดหาวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ได้เจรจาขอข้อมูลกับผู้ผลิตประเทศต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยตั้งเป้าต้องได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตด้วย เพื่อรับมือกับการระบาดในเวลานี้และในอนาคต โดยเดือนกรกฎาคม 2563 บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ได้แสวงหาพันธมิตรผู้ร่วมผลิตวัคซีนโควิด 19 ในเทคโนโลยีไวรัสเวคเตอร์ มีผู้สนใจเข้าร่วมเป็น Hub การผลิตวัคซีนกว่า 60 แห่ง โดยแอสตร้าเซนเนก้า ได้ประเมินและคัดเลือก 25 บริษัทเป็นผู้ร่วมผลิต หนึ่งในนั้นคือ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เนื่องจากประเมินศักยภาพแล้วมีมาตรฐานเหมาะสมที่จะรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี จึงจำเป็นต้องสนับสนุนพัฒนาศักยภาพเพิ่มอีกเล็กน้อย เพื่อให้พร้อมรองรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เร็วที่สุดเพื่อผลิตวัคซีน และมีการเจรจาจองซื้อวัคซีนเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน
“ถ้าจองซื้อวัคซีนกับบริษัทอื่น เป็นการซื้ออย่างเดียว แต่การจองซื้อกับแอสตร้าเซนเนก้า เราได้ศักยภาพการผลิตวัคซีนระดับโลกไว้กับเราด้วย ไม่ว่าจะอยู่กับภาครัฐหรือเอกชนไม่สำคัญ เพราะอยู่ในประเทศไทย ที่สำคัญแอสตร้าเซนเนก้ามีความมั่นใจอย่างมาก ได้เริ่มถ่ายทอดเทคโนโลยีตั้งแต่เดือนตุลาคม” นพ.นครกล่าว
นพ.นครกล่าวว่า ส่วนการจองซื้อวัคซีนกับแอสตร้าเซนเนก้าและโครงการโคแวกซ์มีความแตกต่างกัน เนื่องจากค่าจองของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นส่วนหนึ่งของราคาวัคซีน แต่การจองกับโคแวกซ์เงินที่เรียกว่า UPFRONT PAYMENT เป็นค่าบริหารจัดการ ค่าวัคซีนจะกำหนดเมื่อทราบว่าได้วัคซีนของบริษัทใด และต้องจ่ายตามราคาที่ผู้ผลิตกำหนด ทั้งนี้ ราคาวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าที่ระบุว่าประเทศไทยซื้อแพงกว่าในราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดสนั้น ความจริงคือราคาอ้างอิงในเว็บไซต์ยูนิเซฟ ข้อมูลราคาจากบางแหล่ง เป็นราคาที่ไม่รวมเงินสนับสนุนวิจัย ที่ได้มีการสนับสนุนไปก่อนหน้า นอกจากนี้ ในแต่ละแหล่งผลิต ราคาต้นทุนวัตถุดิบมีความแตกต่างกันตามช่วงเวลา หากเป็นวัตถุดิบตั้งแต่ปีที่แล้วราคาถูกกว่า แต่ช่วงปลายปี 2563 มีความต้องการผลิตวัคซีนสูง ทำให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น จึงเกิดความต่างเรื่องของราคา แต่อยู่บนหลักการไม่มีกำไรไม่มีขาดทุน
สำหรับข่าวบริษัทอินเดียเสนอขายวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าแต่เราไม่ซื้อ เป็นข่าวเท็จทางโซเชียลมีเดีย ข้อเท็จจริงคือเป็นการเสนอความร่วมมือวิจัยวัคซีนกับไทย ซึ่งเป็นบริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับแอสตร้าเซนเนก้า ส่วนโคแวกซ์ไทยยังเดินหน้าเจรจาเข้าร่วม ให้ได้เงื่อนไขที่เหมาะสมกับไทย ส่วนประเด็นการใช้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในผู้สูงอายุ ยึดตามความเห็นขององค์การอนามัยโลกที่ระบุว่าวัคซีนใช้กับผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปได้
“เราจัดซื้ออย่างโปร่งใสมีคณะกรรมการตรวจสอบ พิจารณาเงื่อนไขสัญญาต่างๆ โดยหน่วยงานกำกับกฎหมายของประเทศ ไม่ได้ปกปิด และขอให้มั่นใจศักยภาพว่าประเทศไทยไม่แพ้ใครในโลก สามารถผลิตวัคซีนที่มีคุณภาพระดับโลกได้ เราไม่ต้องมีวัคซีนหลากหลายชนิด ขอให้มีมากพอครอบคลุมประชากร และจัดบริการฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพ” นพ.นครกล่าว