“อนุทิน” ย้ำ “โควิด” คุกคามกลุ่มไม่ได้รับวัคซีน กลุ่ม 608 อันตรายสุด ขอคนไทยฉีดวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม

www.medi.co.th

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ำ “โควิด” คุกคามกลุ่มผู้ไม่ได้รับวัคซีน ยิ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง 608 ยิ่งอันตราย ขอคนไทยรับวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม ช่วยลดความรุนแรงและการเสียชีวิต เน้นเข้าถึงบริการจุดฉีดง่ายขึ้น มีหน่วยเคลื่อนที่ให้บริการ รองรับช่วงปลายปีที่มีกิจกรรมจำนวนมาก มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาอาจทำให้ติดเชื้อมากขึ้น พร้อมมอบโล่เชิดชูกลุ่มแพทย์ช่วยดูแลคนเจ็บเหตุหนองบัวลำภู


นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ครั้งสุดท้ายของปี 2565 พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่คณะแพทย์และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่จังหวัดหนองบัวลำภู และให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมได้ยืนยันถึงเรื่องคนไทยทุกคนควรได้รับวัคซีนป้องกันโควิด 19 ให้ครบ 4 เข็ม ตามมติจากที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านสาธารณสุข (EOC) กรณีโรคโควิด 19 เนื่องจากมีข้อมูลว่าจะช่วยให้มีความปลอดภัย หากติดเชื้ออาการจะไม่รุนแรงหรือเสียชีวิต ซึ่งเดือนนี้เป็นเดือนสุดท้ายของปี จะมีการท่องเที่ยว มีกิจกรรมการเดินทางจำนวนมาก ผู้ประกอบการต้องรับลูกค้าเพิ่มขึ้น มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้ามา จึงอาจมีความเสี่ยงเกิดการแพร่เชื้อได้ ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้สถานพยาบาลทุกระดับเตรียมความพร้อมให้บริการวัคซีนโควิดแก่ประชาชน รวมถึงจัดหน่วยเคลื่อนที่ไปให้บริการในพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้วย

นายอนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีนเลย ขอให้มาฉีดวัคซีนเช่นกัน เนื่องจากข้อมูลทั่วโลกพบว่า โรคโควิด 19 จะคุกคามผู้ไม่ได้รับวัคซีนได้มากที่สุด ยิ่งเป็นกลุ่ม 608 ยิ่งมีอันตราย เสี่ยงที่จะป่วยหนักและเสียชีวิตได้ แต่หากรับวัคซีนแล้ว โดยเฉพาะเข็ม 4 จะช่วยลดความเสี่ยงตรงนี้ได้อย่างมาก ซึ่งวัคซีนขณะนี้มีเพียงพอ สถานพยาบาลมีความพร้อมดูแล ส่วนผู้ประสงค์รับมากกว่า 4 เข็ม เนื่องจากมีความเสี่ยง เช่น ต้องเดินทางไปประเทศที่สุ่มเสี่ยง ต้องพบปะผู้คนจำนวนมากตลอดเวลา ให้บริการสาธารณะ ขนส่ง ต้องดูแลลูกค้า เป็นต้น ก็สามารถแจ้งความต้องการได้


นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือถึงนโยบายของขวัญปีใหม่ ซึ่งจะเน้นเรื่องการดูแลผู้สูงอายุให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ เพื่อรองรับการเป็นสังคมสูงอายุของประเทศไทย โดยมอบหมายให้กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เร่งวางยุทธศาสตร์และวิธีการที่เหมาะสม โดยเรื่องการดูแลผู้สูงอายุนี้จะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของกลุ่มวัยอื่นด้วย เพราะหากผู้สูงอายุเจ็บป่วย มีภาวะพึ่งพิง จะส่งผลไปถึงลูกหลานต้องมาดูแล ทำให้สูญเสียโอกาสการทำงานและสร้างรายได้