
บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่เป็นก้าวสำคัญในการต่อสู้กับโรคที่ทั่วโลกเฝ้าจับตามานานกว่า 40 ปี ด้วยความสำเร็จของงานวิจัย “ByeByeHIV” ที่ช่วยให้ผู้ติดเชื้อ HIV ครบ 100 ราย หลุดพ้นจากภาวะติดเชื้อ นับเป็นครั้งแรกของโลก ที่มีการยืนยันผลลัพธ์ดังกล่าวด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดจากธรรมชาติ
นับตั้งแต่ทศวรรษ 1980s เมื่อมีการค้นพบเชื้อ HIV “ยาต้านไวรัส” ได้กลายเป็นแนวทางหลักในการรักษา แม้ยาต้านไวรัสจะช่วยยืดชีวิตผู้ติดเชื้อได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ยังมาพร้อมกับผลข้างเคียงที่รุนแรงขึ้นตามระยะเวลาการใช้ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว ซึ่งต้องใช้ยาไปตลอดชีวิต และเมื่อหยุดใช้เชื้อ HIV ก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้วงการแพทย์ทั่วโลกพยายามค้นหาวิธีการรักษาใหม่ ๆ ที่จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดของยาต้านไวรัส และความพยายามที่ผ่านมาอาจยังไม่ประสบความสำเร็จ
สถานการณ์ HIV ในประเทศไทย ความท้าทายที่ยังไม่สิ้นสุดแม้ HIV จะถูกควบคุมได้ด้วยยาต้านไวรัส แต่ผู้ติดเชื้อยังคงต้องใช้ยาตลอดชีวิต พร้อมผลข้างเคียงที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่กับ HIV ราว 500,000 – 650,000 คน และยังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 8,800 รายต่อปี (ข้อมูล UNAIDS และ CDC, 2023) สะท้อนถึงความจำเป็นในการหาทางเลือกใหม่ที่ปลอดภัยและยั่งยืนกว่า
.jpg)
ศ. ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร APCO หัวหน้าคณะวิจัย Operation BIM กล่าวว่า “ByeByeHIV เป็นนวัตกรรมจากธรรมชาติ ฝีมือคนไทยถือเป็นการปฏิรูปแนวคิดการดูแลผู้ติดเชื้อ HIV โดยใช้ อาหารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ประกอบด้วยสารสกัดที่ทำงานร่วมกันจากพืชรับประทานได้ 5 ชนิด ได้แก่ มังคุด งาดำ ถั่วเหลือง ฝรั่ง และใบบัวบก ซึ่งมีคุณสมบัติในการกระตุ้น เซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) และ เปลี่ยน Stem cell ให้เป็นเม็ดเลือดขาว T Cell คือ CD4 (Th1, Th17) และ CD8 (Killer T Cell - เซลล์ที พิฆาต) เพื่อจัดการกับเชื้อ HIV ได้อย่างมุ่งเป้า จึงมีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียง นอกจากนี้ยังมีการซ่อมแซมเทโลเมียร์ในเซลล์ ซึ่งช่วยชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพไปพร้อมกัน”
ภาวะ “ByeByeHIV” หมายถึงการที่ผู้ติดเชื้อสามารถกำจัดเชื้อ HIV ออกจากร่างกายได้อย่างสิ้นเชิง และกลับมามีสุขภาพแข็งแรงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน ทีมวิจัย Operation BIM ของไทยได้บันทึกความสำเร็จนี้ครบ 100 รายแล้ว นับเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการยืนยันการหลุดพ้นจาก HIV ด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดจากธรรมชาติ โดยผู้ที่ประสบความสำเร็จเป็นรายแรกได้พิสูจน์แล้วว่า สุขภาพแข็งแรงดีตลอดเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา
นวัตกรรมดังกล่าวยังได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยงานวิจัย “ByeByeHIV with Thai Innovation” ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Clinical Immunology & Research ตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะประเทศผู้นำทางนวัตกรรมด้านสุขภาพ
- 1. ByeByeHIV with Thai Innovation:
https://www.scivisionpub.com/abstract-display.php?id=3167
- 2. ByeByeHIV with Plant-Based Immunotherapy: Progress Update on 40 Cases without the Use of ARV Drugs (Group A)
https://www.scivisionpub.com/abstract-display.php?id=3769
3. ByeByeHIV with Plant-Based Immunotherapy: Progress Update on 40 Cases with Prior Use of ARV Drugs (Group B) https://www.scivisionpub.com/abstract-display.php?id=3770

ด้าน ภิกษุณีสุธาสินี น้อยอินทร์ ประธานมูลนิธิสุธาสินี น้อยอินทร์ บ้านโฮมฮัก ได้กล่าวถึงการสนับสนุนการใช้นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดจากธรรมชาติ โดยมูลนิธิพอ และให้ข้อมูลถึงผลลัพธ์จากโปรแกรมการฟื้นฟูเด็กติดเชื้อ HIV ด้วยนวัตกรรม ByeByeHIV นี้ ที่บ้านโฮมฮักว่า “เด็กๆ มีสุขภาพแข็งแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราการติดเชื้อแทรกซ้อนลดลง สุขภาพกายและใจดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลายคนเรียนจบปริญญาตรี มีความมั่นใจในตนเอง สามารถออกไปทำงานและใช้ชีวิตได้โดยไม่กังวลเรื่องการรักษา อีกทั้งยังเริ่มมีความฝัน วางแผนชีวิต และเติบโตทางด้านจิตใจอย่างมั่นคง พร้อมที่จะก้าวสู่การเป็นกำลังสำคัญของสังคมในอนาคต”
ในมิติทางสังคม แม้โรคเอดส์จะไม่ใช่โรคร้ายแรงที่รักษาไม่หายอีกต่อไป แต่สิ่งสำคัญยิ่งคือการสร้างกำลังใจและการยอมรับจากสังคมต่อผู้ติดเชื้อ ปัจจุบัน APCO ได้ริเริ่มการสร้างอาชีพให้กับผู้ที่ ByeByeHIV โดยให้เข้ามาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาโครงการฯ ช่วยสร้างประโยชน์ให้กับครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ เป็นการคืนศักดิ์ศรีและพลังใจให้กลับมาอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ APCO จึงขอเชิญชวนทุกคนในสังคม ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ให้โอกาสกับผู้เคยติดเชื้อ ในการมีชีวิตและการทำงาน
พร้อมกันนี้ ศ.ดร.พิเชษฐ์ ยังกล่าวเสริมว่า “ความสำเร็จครั้งนี้ไม่เพียงเป็นผลงานของนักวิจัยไทยเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการปฏิรูประบบการดูแลผู้ติดเชื้อ HIV อย่างแท้จริง เพราะทำให้ผู้ติดเชื้อและครอบครัวกลับมามีความหวังที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติ สุขภาพแข็งแรง และไม่ถูกตีตราทางสังคมอีกต่อไป ถือเป็นการปิดฉากยุคเดิมที่ผู้ติดเชื้อต้องเผชิญข้อจำกัดด้านโอกาสทั้งในด้านสุขภาพและสังคม”
“ที่สำคัญ หากนวัตกรรมนี้ได้รับการต่อยอดสู่ระบบสาธารณสุขในวงกว้าง จะช่วยลดภาระงบประมาณด้านยาต้านไวรัสที่ต้องใช้นับพันล้านบาทต่อปี และยังสามารถสร้างอุตสาหกรรมสุขภาพเชิงนวัตกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย ขยายสู่ตลาดโลกได้ อันจะก่อให้เกิดทั้งคุณค่าทางเศรษฐกิจและความภาคภูมิใจของประเทศ”
ความสำเร็จนี้ได้สร้างความหวังให้กับผู้ติดเชื้อ HIV ในประเทศไทย และยังมีศักยภาพต่อการขยายสู่ผู้ป่วยทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในแอฟริกาและเอเชียที่ยังเผชิญกับการแพร่ระบาดในระดับสูง หากสามารถต่อยอดงานวิจัยและพัฒนาเชิงพาณิชย์ได้ จะช่วยลดภาระด้านค่าใช้จ่ายของระบบสาธารณสุข และยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วย HIV อย่างยั่งยืน