รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมผู้บริหารระดับสูงครั้งสุดท้ายก่อนรัฐบาลหมดวาระ สรุปผลสำเร็จการดำเนินงาน 4 ปี ช่วยยกระดับระบบสาธารณสุขไทยแข็งแกร่งขึ้น ทั้งจากการควบคุมโรคโควิด 19 โครงการ 3 หมอดูแลประชาชนกว่า 33 ล้านคน 30 บาทรักษาทุกที่ครอบคลุมทั้งประเทศ มะเร็งรักษาทุกที่ 2.46 แสนคน ฟอกไตฟรี 8.2 หมื่นคน ปลดล็อกกัญชาจากยาเสพติด สร้างขวัญกำลังใจผู้ปฏิบัติงาน ย้ำผู้บริหารเดินหน้า Expo ภูเก็ต 2028 เพื่อมุ่งสู่การเป็นเมดิคัล ฮับ เพิ่มโอกาสสร้างรายได้ประเทศไทย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 3/2566 ว่า วันนี้เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เนื่องจากภายในเดือนนี้สภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาลจะสิ้นสุดวาระ แม้จะยังรักษาการต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ แต่ได้ถือโอกาสนี้ขอบคุณและชื่นชมการทำงานของผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่ร่วมกันฝ่าวิกฤตการณ์ต่างๆ ด้านสาธารณสุข และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบสุขภาพ การรักษาพยาบาล การดูแลประชาชน โดยที่ประชุมได้มีการสรุปผลงานการดำเนินงาน 4 ปี ภายใต้นโยบาย "Health for Wealth" ประชาชนแข็งแรง เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง ประเทศไทยแข็งแรง 6 ด้าน คือ 1.การให้ความสำคัญสูงสุดต่อโครงการพระราชดำริและโครงการเฉลิมพระเกียรติ ได้แก่ การจัดทำฟันเทียม/รากฟันเทียมเฉลิมพระเกียรติฯ 177,832 ราย, ราชทัณฑ์ปันสุขฯ ดูแลสุขภาพผู้ต้องขัง 279,812 ราย, พัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่ง และควบคุมโรคหนอนพยาธิในพื้นที่ทุรกันดารฯ 800 โรงเรียน 2.ยกระดับระบบสุขภาพพื้นฐาน โดยระบบ 3 หมอ ดูแลประชาชน 33,432,465 ราย, 30 บาทรักษาทุกที่ ให้บริการแล้วครอบคลุมทั้งประเทศ, มะเร็งรักษาทุกที่ให้บริการแล้ว 246,444 คน และฟอกไตฟรีให้บริการแล้ว 82,463 คน
3.ยกระดับสมุนไพรไทย กัญชา กัญชง เพื่อการแพทย์และกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยปลดล็อกกัญชาจากยาเสพติดและศึกษาวิจัยพัฒนายาจากกัญชา กัญชง, ให้บริการคลินิกกัญชา 1,005 แห่ง ดูแลผู้ป่วย 103,694 ราย, ออกใบรับจดแจ้งการปลูก 1,095,785 ใบ, สร้างเงิน สร้างงาน ให้ประชาชน มีเม็ดเงินสะพัดกว่า 3 หมื่นล้านบาท 4.ควบคุมโรคระบาดอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 1 ด้านการฟื้นตัวจากโควิด 19, เป็นต้นแบบการควบคุมโควิด 19 อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเปิดประเทศได้เป็นชาติแรกๆ ในเอเชีย และช่วยสนับสนุนภาคธุรกิจในการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว รวมทั้งสามารถควบคุมโรคฝีดาษลิงไม่ให้ลุกลาม 5.สร้างขวัญกำลังใจผู้ปฏิบัติงาน โดยมีการบรรจุข้าราชการรุ่นโควิด 45,684 อัตรา เพิ่มค่าตอบแทนเสี่ยงภัยบุคลากร และเพิ่มค่าตอบแทนพิเศษ อสม. 25 เดือน รวมถึงเพิ่มสวัสดิการ อสม. เช่น ฌาปนกิจสงเคราะห์ และห้องพิเศษ และ 6.สร้างความร่วมมือด้านสาธารณสุขในระดับนานาชาติ โดยไทยได้รับการคัดเลือกจากประเทศในอาเซียน ให้จัดตั้งสำนักงานเลขาธิการศูนย์อาเซียน ด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่
"4 ปีที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขมีการพัฒนาจนทำให้ระบบสาธารณสุขแข็งแกร่งขึ้น ทั้งจากสถานการณ์โควิด และได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาล ความพร้อมของหน่วยบริการต่างๆ ความร่วมมือร่วมใจขององค์กรในสังกัด มีการทำงานเป็นทีมที่ดี ทำให้ภาพรวมมีการพัฒนาทั้งด้านศักยภาพ ประสิทธิภาพ และคุณภาพของการให้บริการ ซึ่งได้ฝากให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขและผู้บริหารทุกคนได้ช่วยกันเดินหน้านโยบายต่างๆ ต่อไป" นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังรับทราบความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงสาธารณสุขประจำปี 2566 เช่น การดำเนินงานกัญชาทางการแพทย์ การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การจัดบริการการแพทย์ทางไกล การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุอย่างเป็นระบบและทั่วถึง ทั้งการคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุกว่า 1.6 ล้านคน การจัดตั้งคลินิกผู้สูงอายุ 171 แห่ง เป็นต้น สำหรับนโยบายที่ต้องการให้มีการสานต่อคือ การพัฒนากัญชาทางการแพทย์, 30 บาทรักษาทุกโรครักษาทุกที่, การดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง, โครงการ 3 หมอ, การพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพดิจิทัล และระบบเทเลเมดิซีน ทั้งนี้ ได้ย้ำให้ช่วยกันผลักดันให้ไทยได้เป็นเจ้าภาพการจัดงาน Specialize Expo ภูเก็ต 2028 ซึ่งจะช่วยยกระดับประเทศไทยให้เป็นเมดิคัล ฮับ อย่างสมบูรณ์แบบ และสร้างโอกาส สร้างรายได้ให้กับประเทศอีกทางหนึ่ง