จากปัญหาที่พบในการวินิจฉัยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ได้นำไปสู่ความพยายามของมหาวิทยาลัยมหิดล โดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ที่มุ่งศึกษาค้นคว้าวิจัยจนสามารถคิดค้น "นวัตกรรมบ่งชี้อัลตร้าซาวด์" (Ultrasound Markers) ทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ซึ่งมีความไวและความจำเพาะในอัตราสูง ทำให้โอกาสในการรอดชีวิตแรกเกิดสูงขึ้นไปด้วย
รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงศนิตรา อนุวุฒินาวิน และแพทย์หญิงธนาภา เรขาวศิน พินนิงตัน ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้บอกเล่าถึงความสำเร็จจากการคิดค้นนวัตกรรมดังกล่าว ซึ่งเป็นผลงานโดยทีมแพทย์เวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ ซึ่งเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องของภาควิชาฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ "Ultrasound in Obsterics and Gynecology" เมื่อเร็วๆ นี้
ระบบการไหลเวียนเลือดในร่างกายมนุษย์โดยปกติจะรับเอาเลือดแดงที่ผ่านการฟอกแล้วจากปอด ก่อนส่งไปยังสู่หัวใจห้องบนซ้าย และล่างซ้าย จึงจะพร้อมออกไปหล่อเลี้ยงอวัยวะในส่วนต่างๆ ของร่างกาย และจะส่งเลือดดำที่ใช้แล้วผ่านหัวใจห้องบนขวา ก่อนไหลลงสู่หัวใจห้องล่างขวา และส่งกลับไปยังปอดเพื่อฟอกให้เป็นเลือดแดงอีกครั้ง
ในขณะที่โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด TAPVR (Total Anomalous Pulmonary Venous Return) ซึ่งเป็นโจทย์ที่ใช้ในการทำ
วิจัยดังกล่าว เป็นอาการที่เกิดจากการไหลเวียนของเลือดที่ผิดปกติ ตั้งแต่กระบวนการฟอกเลือดแดงออกจากปอด แล้วไม่สามารถส่งต่อไปยังห้องบนซ้ายของหัวใจได้อย่างที่ควรเป็น จนอาจทำให้ทารกแรกเกิด “อาการเขียว” อย่างรุนแรง
โดยทีมแพทย์เวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ค้นพบทางออกของโรคดังกล่าว จากการพยายามที่จะทำให้การวินิจฉัยทารกตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ด้วยวิธีการทำอัลตร้าซาวด์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อจะได้พบความผิดปกติก่อนพิจารณาส่งต่อถึงมือแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจเพื่อทำการผ่าตัดแก้ไขหลังคลอดได้อย่างทันท่วงที โดยการใช้ "นวัตกรรมบ่งชี้อัลตร้าซาวด์" (Ultrasound Markers) ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ที่ทีมวิจัยได้ค้นพบ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการคัดกรองหาความผิดปกติของโรคดังกล่าวตั้งแต่ในระยะก่อนคลอด อันจะทำให้ทารกได้รับการรักษาในสถานพยาบาลที่มีความพร้อมในการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจ
ซึ่งเป็นการนำค่าของระยะด้านหลังของหัวใจห้องบนซ้ายจนถึงหลอดเลือดแดงใหญ่ มาหารกับขนาดของหัวใจห้องบนซ้าย จนเกิดเป็นอัตราส่วนค่าหนึ่ง ซึ่งในทารกที่เป็นโรค TAPVR จะมีค่าอัตราส่วนดังกล่าวที่มากกว่าในทารกปกติ ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สงสัยโรคนี้มากยิ่งขึ้น และจะมีการตรวจเพิ่มเติมต่อเพื่อให้การวินิจฉัยที่ชัดเจนต่อไป
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมายังพบการเกิดโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด TAPVR ไม่บ่อยนัก เนื่องเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่พบน้อยมาก นอกจากนี้ยังเป็นโรคให้การวินิจฉัยก่อนคลอดได้ยาก ได้น้อยกว่า 10% และยังมีการศึกษาวิจัยในเรื่องดังกล่าวไม่มาก จึงทำให้มีรายงานที่เกี่ยวข้องออกมาไม่มากนัก
ติดตามข่าวสารที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยมหิดลได้ที่ www.mahidol.ac.th
สัมภาษณ์และเขียนข่าวโดย ฐิติรัตน์ เดชพรหม นักประชาสัมพันธ์ (ชำนาญการ)
งานสื่อสารองค์กร กองบริหารงานทั่วไป สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล