เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาว ชื่อของ RSV (Respiratory Syncytial Virus) กลับมาขึ้นแท่นเชื้อไวรัสที่ต้องเฝ้าระวังในกลุ่มผู้ปกครองที่มีเด็กเล็ก เพราะเป็นสาเหตุสำคัญของโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง สามารถแพร่ระบาดและก่อให้เกิดอาการรุนแรงในเด็กเล็กโดยเฉพาะในช่วงวัยสองปีแรก โดยข้อมูลจากกรมควบคุมโรคในปีที่ผ่านมา[1] พบการติดเชื้อไวรัส RSV มากที่สุดในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ด้วยสัดส่วนถึง 52% และในกลุ่มเด็กอายุ 3-5 ปี หรือวัยอนุบาล อีกราว 34% ซึ่งรวมแล้วพบการระบาดในกลุ่มเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี นั้นสูงเกินกว่า 80% เลยทีเดียว
แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป เช่น มีไข้ต่ำ ไอ หรือคัดจมูก แต่ถ้าเกิดในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ทารกที่คลอดก่อนกำหนด (ก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์) หรือเด็กที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับปอดหรือหัวใจ จะมีความเสี่ยงสูงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง อาจส่งผลให้ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ไม่เพียงเท่านั้น RSV ยังส่งผลกระทบทางสุขภาพในระยะยาว ในขณะเดียวกันเด็กที่เคยป่วยจากการติดเชื้อไวรัส RSV จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนในระบบทางเดินหายใจ อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะหลอดลมไวหรืออาการคล้ายโรคหืด และมีโอกาสพบการหอบซ้ำได้ในช่วง 1 ปีแรกมากกว่าปกติ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคปอดเรื้อรังในผู้ใหญ่ด้วยเช่นกัน[2]
นอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพของเด็กโดยตรงแล้ว ไวรัส RSV ยังส่งผลกระทบในด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV ยังไม่มียารักษาเฉพาะทาง จึงต้องใช้วิธีการรักษาแบบประคองอาการ และผู้ปกครองยังต้องแบกรับค่าเสียโอกาสไปจนถึงทรัพยาการต่างๆ ระหว่างการดูแลบุตรหลานที่ป่วย
รศ. พญ. หฤทัย กมลาภรณ์ กุมารแพทย์โรคระบบหายใจ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา มีส่วนช่วยลดอัตราการแพร่ระบาดของไวรัส RSV ได้ในระดับหนึ่ง แต่ในปัจจุบันที่สถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แน่นอนว่าเด็กๆ ควรได้ออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการตามวัย ทำให้ความเสี่ยงในการได้รับเชื้อ RSV ซึ่งเป็นไวรัสตามฤดูกาลนั้นเพิ่มขึ้น ปีนี้พบสถานการณ์การระบาดของปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส RSV ในเด็กสูงขึ้นมากและพบอาการรุนแรงในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น อาจเนื่องมาจากปีที่แล้วเด็กๆ ไม่ได้ออกนอกบ้านทำให้ภูมิคุ้มกันหมู่ตามธรรมชาติลดน้อยลงไป ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัส RSV ในเด็กที่ผ่านการรับรองในประเทศไทย ดังนั้น การป้องกันและดูแลเด็กเล็กอย่างใกล้ชิดจึงจำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคหัวใจ และ ทารกเกิดก่อนกำหนด รวมถึงสมาชิกในครอบครัวเองก็ต้องคอยระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเป็นผู้นำเชื้อมาสู่เด็กเล็กได้เช่นกัน โดยเฉพาะเด็กทารกซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว”
เนื่องจากอาการเบื้องต้นของ RSV มีความคล้ายคลึงกับไข้หวัดทั่วไป วิธีการสังเกตอาการของ RSV จึงต้องพิจารณาปัจจัยอื่นเพิ่มด้วย อาทิ การป่วยในช่วงฤดูกาลระบาด หรือมีอาการหายใจเหนื่อยหอบร่วมด้วย เพราะเป็นลักษณะที่บ่งชี้ถึงความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ RSV มักรุนแรงที่สุดในวันที่ 3-4 นับจากวันที่เริ่มมีอาการ มักพบอาการหายใจแรง หายใจลำบาก มีเสียงครืดคราดในลำคอหรือทรวงอกอย่างชัดเจน มีเสมหะจำนวนมาก เริ่มเหนื่อยซึมและกระสับกระส่าย ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวต้องรีบพาเด็กไปโรงพยาบาลโดยทันที เพราะหากไม่รีบเข้ารับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะรุนแรงจนต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจหรือรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) ได้
ไวรัส RSV สามารถติดต่อผ่านฝอยละอองของสารคัดหลั่ง (droplet) ไม่ว่าจะเป็นการไอจามใส่กันโดยตรง หรือใช้มือที่สัมผัสเชื้อมาจับจมูก ปาก และเยื่อบุตา จึงสามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วในสถานที่ที่เด็กเล็กรวมตัวกัน เช่น ศูนย์เด็กเล็ก สนามเด็กเล่นในร่ม หรือสระว่ายน้ำ ดังนั้น วิธีป้องกันที่สามารถทำได้เองคือการรักษาสุขอนามัย ปลูกฝังให้เด็กหมั่นล้างมือด้วยสบู่และไม่เอามือจับหน้า พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่แออัดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลระบาด หากเริ่มมีอาการป่วยควรให้เด็กพักรักษาตัวที่บ้าน ไม่ออกไปอยู่ร่วมกับเด็กคนอื่นๆ เป็นต้น สำหรับผู้ปกครองและสมาชิกในบ้าน ควรเลี่ยงการสูบบุหรี่รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิด เพราะทั้งควันบุหรี่และมลพิษทางอากาศอย่าง PM2.5 ล้วนส่งผลต่อการทำลายเยื่อบุทางเดินหายใจของเด็ก และส่งผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะโรคได้รุนแรงยิ่งขึ้น
“เด็กที่เคยติดเชื้อไวรัส RSV มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกแม้จะเป็นสายพันธุ์ย่อยเดียวกันก็ตาม ทำให้เด็กเล็กยังคงมีความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาไวรัสชนิดนี้แบบเฉพาะทาง ดังนั้น ในช่วงฤดูกาลระบาดนี้ ผู้ปกครองต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันอย่างจริงจัง เพราะเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายกว่าการรับมือกับภาระโรคที่รุนแรงหากได้รับเชื้อ โดยเฉพาะในเด็กกลุ่มเสี่ยง” รศ. พญ. หฤทัย กล่าว