เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูฝนอย่างเป็นทางการ ผู้ปกครองควรตระหนักถึงโรคติดเชื้อที่อาจส่งผลต่อบุตรหลานของตนเองได้โดยตรง ซึ่งโรคที่เกี่ยวกับการติดเชื้อทางเดินหายใจที่พบบ่อยที่สุดในช่วงเวลานี้คือ โรคไข้หวัดใหญ่และโรคติดเชื้อไวรัส RSV ที่มักพบการระบาดเป็นประจำทุกปี โดยกลุ่มที่พบอัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ เด็กอายุ 0 - 4 ปี อ้างอิงข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความกังวลใจให้กับพ่อแม่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่ภาระค่ารักษาพยาบาลที่นับวันก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ คงเป็นการดีหากเราได้ทำความรู้จักเกี่ยวกับโรคให้ดีขึ้นและเรียนรู้ถึงแนวทางป้องกัน
• ทำความรู้จักกับโรคไข้หวัดใหญ่ มีสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส Influenza มักระบาดหนักในช่วงฤดูฝน พบได้ในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็ก ซึ่งจุดแตกต่างของไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดธรรมดาจะอยู่ที่โรคไข้หวัดใหญ่นั้นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนถึงขั้นอันตรายต่อชีวิตได้ อาการที่พบบ่อย ได้แก่ เด็กจะมีไข้ ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ ไอและเจ็บคอ หรือพบอาการทางระบบอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว หรืออาการชัก การดูแลและวิธีป้องกันจึงเป็นการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ควรฉีดประมาณ 1 – 2 เดือน ก่อนฤดูกาลระบาดในทุกปีอย่างสม่ำเสมอ และสามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป
• สร้างความเข้าใจกับโรคติดเชื้ออาร์เอสวี (RSV) ชื่อเต็มคือ Respiratory Syncytial Virus เป็นไวรัสชนิดมีเปลือกหุ้ม มีสองสายพันธุ์ คือ RSV-A และ RSV-B ก่อให้การติดเชื้อในทางเดินหายใจของเด็ก และพบการระบาดเกือบทุกปีในช่วงหน้าฝน มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่แต่มีจุดแตกต่างคือ ในช่วงแรกจะมีไข้ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล โดยร้อยละ 20 - 30 ของเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ที่ติดเชื้อครั้งแรกพบมีอาการโรคลุกลามไปทางเดินหายใจส่วนล่าง ทำให้หลอดลมใหญ่หรือหลอดลมฝอยอักเสบ และปอดอักเสบได้ ตามมาด้วยอาการไข้สูง ไอแรง หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงหวีดหวิว หรือเสียงครืดคราดในลำคอ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคติดเชื้อไวรัส RSV โดยตรง และมักรักษาตามอาการ โดยสามารถป้องกันได้ด้วยการที่ทุกคนในบ้านหมั่นล้างมือเป็นประจำ ทำความสะอาดบ้านและของเล่นเด็กอยู่เสมอ รวมถึงผู้ปกครองควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เนื่องจากลูกน้อยที่สูดดมควันบุหรี่เข้าไปมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัส RSV และพบอาการที่รุนแรงได้มากยิ่งขึ้น
อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับพ่อแม่ เพื่อวางแผนและรับมือกับความเสี่ยง แอกซ่าพร้อมส่งมอบความห่วงใยด้วยแผนประกันสุขภาพ “สมาร์ทแคร์ เอสเซนเชียล” ที่เป็นมากกว่าประกันสุขภาพ แต่ช่วยสร้างความอุ่นใจและปกป้องลูกน้อยได้มากยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องโรคที่ต้องเผชิญ หรือภาระค่าใช้จ่ายที่เกินการควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพกับวงเงินความคุ้มครองสูงสุดถึง 10 ล้านบาท
ทั้งนี้ แผนประกันภัยสุขภาพ “สมาร์ทแคร์ เอสเซนเชียล” ยังสามารถเลือกซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติม สำหรับค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก ด้วยวงเงินค่ารักษา 3,000 บาทต่อครั้ง (สูงสุด 1 ครั้ง / วัน และ 30 ครั้ง/ปี) รวมถึงการเลือกซื้อความคุ้มครองถึงการดูแลสุขภาพเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น การฉีดวัคซีน การตรวจสุขภาพ การทำฟัน การรักษาสายตา และยังสามารถเลือกความรับผิดส่วนแรกเพื่อลดค่าเบี้ยประกันภัยได้ อีกทั้งยังต่ออายุได้ถึงอายุ 99 ปี
สำหรับผู้ที่สนใจแผนประกันสุขภาพ “สมาร์ทแคร์ เอสเซนเชียล” ของแอกซ่า สามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ https://www.axa.co.th/th/SmartCare-Essential หรือติดต่อตัวแทนหรือคู่ค้าของแอกซ่า รวมถึงติดตามข้อมูลและข่าวสารต่างๆ ของแอกซ่า ผ่านช่องทางดังต่อไปนี้
-เว็บไซต์ของแอกซ่า https://www.axa.co.th/
-ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์แอกซ่า โทร 02-118-8111
-เฟซบุ๊กแอกซ่าประเทศไทย https://www.facebook.com/AXAThailand/
-ไลน์แอกซ่า @AXAThailand
*เงื่อนไขการรับประกันภัยและความคุ้มครองเสริมเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง