สปสช. ชวน รพ.และคลินิกเอกชนใน 4 จังหวัดนำร่องนโยบายบัตรประชาชนรักษาได้ทุกที่ (แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส) สมัครขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการในระบบบัตรทองเพื่อร่วมดูแลประชาชนไปด้วยกัน ชี้ สปสช. ปรับระบบขึ้นทะเบียนใหม่เป็น One Stop Service ลดภาระเอกสาร ลดระยะเวลาตรวจประเมินและประกาศขึ้นทะเบียนหน่วยบริการให้เร็วขึ้นแล้ว
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขเตรียมผลักดันนโยบาย 30 บาทอัปเกรด หรือการยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) โดยจะเปิดให้ประชาชนใช้บัตรประชาชนใบเดียวเข้ารับการรักษาได้ในสถานพยาบาลทุกเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ในวันที่ 8 ม.ค. 2567 ใน 4 จังหวัดนำร่อง ประกอบด้วย แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว สปสช. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลสิทธิบัตรทอง จึงขอเชิญชวนสถานพยาบาลเอกชนประเภทต่างๆ รวมถึงร้านยา ในพื้นที่ 4 จังหวัดนี้ เข้ามาร่วมเป็นหน่วยบริการในระบบบัตรทองเพื่อดูแลประชาชนไปด้วยกัน
นพ.จเด็จ กล่าวอีกว่า หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีทั้งสถานพยาบาลของรัฐและเอกชน ในส่วนของสถานพยาบาลภาคเอกชนนั้น เปิดรับสมัครหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลเอกชน คลินิกเวชกรรม คลินิกการพยาบาล คลินิกทันตกรรม คลินิกกายภาพบำบัด คลินิกเทคนิคการแพทย์ คลินิกแพทย์แผนไทยและร้านยา ทั้งนี้เพื่อให้มีหน่วยบริการที่ครอบคลุมในทุกพื้นที่ ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถเข้ารับบริการใกล้บ้านได้อย่างสะดวก
นพ.จเด็จ กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายยกระดับบัตรทองที่ประชาชนใช้บัตรประชาชนใบเดียวเข้ารับการรักษาได้ในสถานพยาบาลทุกเครือข่าย สปสช. ยังได้ปรับปรุงระบบ back office อื่นๆ เช่น ระบบการรับสมัครและขึ้นทะเบียนหน่วยบริการในระบบบัตรทอง ก็ได้ปรับให้เป็นแบบ One Stop Service ลดความยุ่งยากในเรื่องเอกสารต่างๆ ลดระยะเวลาในการตรวจประเมินและประกาศขึ้นทะเบียนหน่วยบริการ สร้างความสะดวกรวดเร็วแก่สถานพยาบาลและร้านยาที่มาสมัครขึ้นทะเบียนมากขึ้น โดยหน่วยบริการสามารถสมัครได้ที่ https://ossregister.nhso.go.th สมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สอบถามเพิ่มเติม สายด่วน สปสช. 1330 กด 5 (provider center)
นพ.จเด็จ อธิบายว่า ในขั้นตอนแบบ One Stop Service นั้น จะอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด จากเดิมที่หน่วยบริการต้องสแกนเอกสาร ทั้งแบบฟอร์มสมัคร ใบรับรองจากกรมพัฒนาการค้า ใบอนุญาตประกอบสถานพยาบาล ใบอนุญาตดำเนินการสถานพยาบาล ใบประกอบวิชาชีพ ก็เปลี่ยนเป็นการแจ้งความประสงค์ผ่านระบบ ThaID แล้ว สปสช. จะเชื่อมโยงข้อมูลไปยังหน่วยงานรับรองโดยตรง หรือการตรวจเอกสารที่ทำโดยเจ้าหน้าที่ก็จะเปลี่ยนเป็นการตรวจโดยโปรแกรม ทำให้ระยะเวลาการสมัครจนถึงขั้นประกาศขึ้นทะเบียนลดลงจาก 30 วัน เป็นไม่เกิน 3 วัน
ขณะเดียวกัน ในขั้นต่อไป สปสช. ยังจะพัฒนาระบบนิติกรรมสัญญา โดยเชื่อมโยงกับธนาคารเพื่อตรวจสอบความถูกต้องบัญชี และหลักประกันสัญญา และมีการจัดทำและลงนามสัญญาในระบบ การพัฒนาระบบฐานข้อมูลการขึ้นทะเบียน โดยปรับปรุงระบบฐานข้อมูลหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแบบอัตโนมัติ และการพัฒนาระบบข้อมูลพื้นฐานหน่วยบริการให้รองรับการนําไปใช้เพื่อการบริหารจัดการกองทุน รวมทั้งเปิดให้หน่วยบริการตรวจสอบและปรับปรุงข้อมูลของตนเองและ export ไปใช้งานได้อีกด้วย
“ในฝั่งการให้บริการ ทางกระทรวงสาธารณสุขกำลังพัฒนาระบบเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้ประชาชนสามารถไปรับบริการได้ทุกที่ ในฝั่งของการสนับสนุน สปสช. เราก็พยายามอำนวยความสะดวกแก่หน่วยบริการให้มากที่สุด ทั้งระบบการขึ้นทะเบียนที่สะดวกรวดเร็ว และในอนาคตอันใกล้เราก็ยังพัฒนาระบบ new-eClaim ซึ่งจะอำนวยความสะดวกแก่หน่วยบริการในการเบิกเงิน รวมทั้งพยายามลดเวลาการจ่ายเงินให้สั้นที่สุดเพื่อให้หน่วยบริการมีกระแสเงินสดหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงขอเชิญชวนหน่วยบริการต่างๆในพื้นที่ 4 จังหวัดนำร่องนี้เข้ามาร่วมเป็นหน่วยบริการในระบบบัตรทองกันเยอะๆ สปสช. เราจะอำนวยความสะดวกแก่ท่านให้มากที่สุด”นพ.จเด็จ กล่าว
ทั้งนี้ ใน 4 จังหวัดนำร่องดังกล่าว นอกจากหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขแล้ว ยังมีหน่วยบริการอื่นๆ ที่ไม่ได้เข้าร่วมให้บริการสิทธิบัตรทองอีกจำนวนมาก อาทิ จ.แพร่ มีคลินิกเวชกรรม 100 แห่ง ขึ้นทะเบียนกับ สปสช. 1 แห่ง ร้านยา 114 แห่ง ขึ้นทะเบียนกับ สปสช. 21 แห่ง จ.เพชรบุรี มีคลินิกเวชกรรม 101 แห่ง ขึ้นทะเบียนกับ สปสช. 1 แห่ง ร้านยา 103 แห่ง ขึ้นทะเบียนกับ สปสช. 22 แห่ง จ.ร้อยเอ็ด มีคลินิกเวชกรรม 204 แห่ง แต่ไม่มีคลินิกใดสมัครขึ้นทะเบียนกับ สปสช. เลย ส่วนร้านยามี 182 แห่ง ขึ้นทะเบียนกับ สปสช. 50 แห่ง และ จ.นราธิวาส มีคลินิกเวชกรรม 74 แห่ง ขึ้นทะเบียนกับ สปสช. 2 แห่ง ร้านยา 91 แห่ง ขึ้นทะเบียนกับ สปสช. 24 แห่ง