แอสตร้าเซนเนก้า ร่วมมือกับรัฐบาลไทย ในการจัดการกับโรคไม่ติดต่อในประเทศ

บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด เผยแผนการลงทุนและความร่วมมือระยะเวลา 3 ปี หลังจากหารือกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2567 ที่กรุงเทพฯ โดยแผนความร่วมมือเชิงกลยุทธ์นี้ มีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของรัฐบาลที่มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและการแพทย์ พร้อมทั้งเป็นการร่วมตอกย้ำการเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีแก่ชุมชนชาวไทยของแอสตร้าเซนเนก้า


ในระหว่างการประชุม นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets และ นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมหารือเกี่ยวกับแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยและการเสริมสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุข โดยแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย เตรียมลงทุนประมาณ 6.2 พันล้านบาท (ประมาณ 168.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 ถึง พ.ศ. 2569 เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านชีวการแพทย์ และพัฒนาการเข้าถึงด้านสุขภาพโดยมุ่งเน้นไปที่โรคไม่ติดต่อในประเทศไทย และยังเป็นการส่งเสริมความมุ่งมั่นของบริษัทในการจ้างบุคลากรที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง


ในช่วงที่เกิดโรคระบาด รัฐบาลไทย แอสตร้าเซนเนก้า และพันธมิตร ได้ร่วมกันผลิตวัคซีนโควิด-19 ในประเทศ ซึ่งนับได้ว่าเป็นการร่วมมือจากทุกฝ่าย และได้ช่วยชีวิตคนในประเทศไทยกว่า 140,000 คน บริษัทยังคงเดินหน้าสานต่อพันธกิจในการขยายกิจการ และสนับสนุนความก้าวหน้าด้านสุขภาพในประเทศ


นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets กล่าวว่า "แอสตร้าเซนเนก้าเดินหน้าสานต่อความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสังคมไทย และร่วมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของคนในประเทศ ในปัจจุบัน กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เป็นสาเหตุสำคัญของการคร่าชีวิตคนไทยโดยเฉลี่ยประมาณปีละ 400,000 คน การประชุมกับนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เรามีความตั้งใจที่จะส่งเสริมความยั่งยืนและการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม พร้อมทั้งร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพของประเทศไทย เราหวังว่าจะสามารถนำความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม มาเสริมสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านการแพทย์ต่อผู้ป่วย และเพิ่มการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่เท่าเทียมกันทั่วทั้งประเทศ"


แอสตร้าเซนเนก้ามุ่งเน้นที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตทางการแพทย์และผลกระทบที่มีต่อชีวิตคนทั่วโลก โดยบริษัทยังเสริมสร้างการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเพื่อให้ได้รับยาที่เหมาะสม และสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิมอีกด้วย