ม.มหิดลแนะออกกำลังกายแบบแอโรบิก‘ต่อลมหายใจและชีวิต’ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน

ในทางอารมณ์และจิตใจ สารโดปามีน จัดเป็น สารแห่งความสุข แต่ในทางร่างกายและการเคลื่อนไหว ระดับ สารโดปามีน ที่ลดลงอาจหมายถึง ความเสี่ยง ต่อการเกิด โรคพาร์กินสัน


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. กภ.เฟื่องฟ้า ขอบคุณ อาจารย์ประจำกลุ่มสาขาวิชากายภาพบำบัด คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงอาการสำคัญของ โรคพาร์กินสัน คือ การเคลื่อนไหวที่ช้าลง ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการเสื่อมของเซลล์สมองที่ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้จากผู้ที่เคยมีการเคลื่อนไหวที่ปกติ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ต้องประสบกับการเคลื่อนไหวช้า ร่วมกับอาการสั่นขณะพัก อาการแข็งเกร็ง ปัญหาการทรงตัว และการเดินที่ผิดปกติโดยไม่รู้ตัว


เดิมพบว่า โรคพาร์กินสัน เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ในเบซัลแกงเกลีย (Basal Ganglia) ที่สร้างสาร โดปามีน ทำให้เกิดการ ขาดสมดุล ของวงจรประสาทที่เป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้น และยับยั้งการเคลื่อนไหวของร่างกาย แต่ปัจจุบันมีการค้นพบเพิ่มเติมว่า ความเสื่อมของระบบประสาทอัตโนมัติส่วนปลายที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้ ซึ่งทำให้เกิด อาการท้องผูก อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนถึงอาการเริ่มต้นของ โรคพาร์กินสัน


โรคพาร์กินสัน มีอาการแสดงที่แตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของโรค ซึ่งการพิจารณาให้การรักษา และกายบำบัดด้วย การออกกำลังกาย อาจมีข้อจำกัดหากเกิดอาการโรคร่วมอื่น เช่น ความดันโลหิตสูง และ โรคหัวใจ


โดยการออกกำลังกายนอกจากจะมีส่วนช่วยให้สมองหลั่ง สารโดปามีน ให้จิตใจเป็นสุข และเกิดสมดุลของวงจรประสาทแล้ว หากเป็น การออกกำลังกายแบบแอโรบิก จะดีต่อทั้งหัวใจ และเสริมสมรรถภาพร่างกายของผู้ป่วยให้มีการเคลื่อนไหวที่สมดุลมากขึ้น


จากการศึกษาพบว่า การฝึกเดินร่วมกับการใช้สื่อนำ (cue) หรืออุปกรณ์ การฝึกเคลื่อนไหวลมปราณแบบจีน รวมทั้งการฝึกเคลื่อนไหวตามจังหวะเพลง สามารถช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยโรคพาร์กินสันที่มีอาการแรกเริ่ม ก่อนเกิดอาการรุนแรงได้


ด้วยประสบการณ์ตรงทางคลินิกของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. กภ.เฟื่องฟ้า ขอบคุณ ได้นำไปสู่การค้นพบว่า การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสันแบบแอโรบิก ด้วยการเดินบนลู่วิ่งไฟฟ้า หากควบคู่กับการเดินบนพื้นราบ  จะทำให้การเดินของผู้ป่วยมีความเป็นธรรมชาติ มากกว่าการให้ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันฝึกเดินด้วยลู่วิ่งไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว


ซึ่งการเดินแบบธรรมดา เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ใช้เพียงรองเท้าและเสื้อผ้าแบบสบายๆ โดยสามารถทำได้ทั้งในร่ม และกลางแจ้ง ทั้งนี้การเดินแม้เป็นวิธีการที่ง่าย และประหยัด แต่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการล้มในกลุ่มผู้ป่วยโรคพาร์กินสันระดับความรุนแรงปานกลาง หรือค่อนข้างมาก


เมื่อเทียบกับ ธาราบำบัด ที่แม้มีข้อดีตรงที่ใช้ น้ำ ช่วยพยุงข้อต่อ และ ลดแรงกระแทกขณะเคลื่อนไหว แต่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแล ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า เสี่ยงต่อการลื่นล้มระหว่างการขึ้นลงสระ สำลักน้ำระหว่างฝึก หรือติดเชื้อที่ผิวหนังหากเป็นแผล


อย่างไรก็ดี Parkinson Foundation แห่งสหราชอาณาจักร ร่วมกับ The American College of Sports and Medicine ได้แนะนำการออกกำลังกายแบบแอโรบิกสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสันว่า ควรทำอย่างต่อเนื่องรวม 150 นาทีต่อสัปดาห์ จากการออกกำลังกายวันละ 30 - 60 นาที จำนวน 3 - 5 วันต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ควรฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การทรงตัว ความคล่องตัว ฝึกกิจกรรมต่างๆ และยึดกล้ามเนื้อร่วมด้วย


ตัวอย่างการออกกำลังกายผู้ป่วยสูงวัยโรคพาร์กินสัน ระยะต้น - ปานกลาง ซึ่งเข้ารับการบำบัดด้วยปัญหาการเดินที่ไม่คล่องตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องหมุนหรือเปลี่ยนทิศทาง จากการให้ผู้ป่วยได้ฝึกการเคลื่อนไหว การทรงตัว การเดิน ตลอดจนเพิ่มความแข็งแรง - ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ต่อเนื่อง 4 - 8 สัปดาห์ พบว่าผู้ป่วยมีพัฒนาการที่ดีขึ้น คุณภาพการเดินที่ดีขึ้น การหมุนตัวและก้าวเดินเป็นธรรมชาติมากขึ้น จนลดความถี่ในการเข้ารับการทำกายภาพบำบัด และได้ใช้เวลาในการทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวในวันหยุดได้อย่างมีความสุขมากขึ้น


เคล็ดลับการฝึกที่น่าสนใจ อาทิ การเพิ่มความก้าวหน้าของการฝึกทรงตัว ผ่านการจินตนาการทำท่าคล้ายปาลูกบอลข้างหน้า เพื่อสร้างความเพลิดเพลินระหว่างการฝึกจังหวะและความเร็วในการเดินโดยใช้เสียงกำกับ ตลอดจนฝึกเปลี่ยนทิศทางการเดินทั้งแบบกำหนดจุด และไม่กำหนดจุด เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน


สำหรับการให้บริการของศูนย์กายภาพบำบัด คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล จะจัดโปรแกรมให้เฉพาะผู้ป่วยโรคพาร์กินสันที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์แล้วเท่านั้น


ก่อนมาเข้ารับการประเมินสมรรถภาพตามระดับความรุนแรงของโรคผ่าน คู่มือ ที่นับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของ มหาวิทยาลัยมหิดล ผลงานโดยคณะกายภาพบำบัด ในฐานะ ปัญญาของแผ่นดิน ตามปณิธานของมหาวิทยาลัยมหิดล โดยได้รับการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา ด้วยการแก้ไขปัญหาแบบ “Task Oriented Approach” ตามความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติแบบเฉพาะจุด


โดยมุ่งดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เน้นการมีส่วนร่วมของผู้ป่วย เพื่อให้เข้าถึงเป้าหมายของการทำบำบัดอย่างยั่งยืน


ติดต่อนัดหมายเพื่อเข้ารับบริการได้ที่ ศูนย์กายภาพบำบัด คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา โทร. 0-2441-5450 และที่ ศูนย์กายภาพบำบัด ปิ่นเกล้า คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล โทร. 06-3520-5151


ติดตามข่าวสารที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยมหิดลได้ที่ www.mahidol.ac.th


สัมภาษณ์ และเขียนข่าวโดย ฐิตินวตาร ดิถีการุณ นักประชาสัมพันธ์ (ชำนาญการ)


งานสื่อสารองค์กร กองบริหารงานทั่วไป สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โทร. 0-2849-6210