ชูผลงาน “7 นวัตกรรมทางการแพทย์” ฝีมือนักวิจัยไทย ในงานประชุมวิชาการ PMAC 2568

ชูผลงาน “7 นวัตกรรมทางการแพทย์” ฝีมือนักวิจัยไทย ในงานประชุมวิชาการนานาชาติรางวัลเจ้าฟ้ามหิดลประจำปี 2568 แสดงศักยภาพประเทศไทยด้านเทคโนโลยีด้านสุขภาพ ช่วยคนไทยเข้าถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีด้วยราคาเหมาะสม และได้รับบรรจุเป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS จัดนิทรรศการแสดงผลงานนวัตกรรมการแพทย์ไทย ในระหว่างงานประชุมวิชาการนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล (PMAC) ประจำปี 2568 เมื่อวันที่ 28 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอก คอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์


        นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า สปสช. สนับสนุนผลงานของนักวิจัยและบริษัทไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยนำนวัตกรรมที่ได้รับการบรรจุในบัญชีนวัตกรรมไทยเข้าสู่สิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) 


“การนำนวัตกรรมของไทยเข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการแพทย์ในราคาที่เหมาะสม ทั้งยังช่วยลดต้นทุนบริการสุขภาพ สร้างตลาดให้กับนวัตกรรมไทย เสริมสร้างศักยภาพของ SME ให้มีความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ” เลขาธิการ สปสช. กล่าว

        นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน มีผู้ป่วยกว่า 105,000 คน ที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมทั้งหมดนี้ แม้จำนวนนี้อาจดูไม่มาก แต่สามารถสร้างรายได้ให้ SMEs กว่า 321 ล้านบาท โดย 7 นวัตกรรมที่นำเสนอในนิทรรศการประกอบด้วย เท้าเทียมไดนามิกเอสเพส (sPace), แผ่นปิดกะโหลกศีรษะผลิตจากวัสดุ Polymethylmethacrylate ด้วยการพิมพ์ 3 มิติ, แผ่นปิดกะโหลกศีรษะผลิตจากไทเทเนียม, ชุดตรวจพยาธิใบไม้ตับสำเร็จรูปชนิดเร็ว (OV-ATK), วัคซีนป้องกันโรคไอกรน ชนิดไร้เซลล์ (Pertussis (acellular): aP,  รากฟันเทียมไทย และถุงทวารเทียม


        ดร.จิตติ์พร ธรรมจินดา ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS กล่าวว่า TCELS ได้ร่วมกับ สปสช. ในการสนับสนุนนวัตกรรมการแพทย์ไทยให้สามารถขยายตัวในเชิงพาณิชย์ พร้อมกับการสร้างประโยชน์ต่อสังคม โดยในบรรดานวัตกรรมต่างๆ นี้ รากฟันเทียมที่พัฒนาโดยมูลนิธิทันตนวัตกรรมในพระบรมราชูปถัมภ์ ถือเป็นนวัตกรรมสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยกว่า 10,000 คนเข้าถึงบริการฝังรากฟันเทียมภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ตั้งแต่ดำเนินการเมื่อเดือน ต.ค. 2565 จากเดิมที่ผู้ป่วยไม่สามารถจ่ายให้กับรากฟันเทียมนำเข้า ซึ่งมีราคาประมาณ 50,000-120,000 บาทต่อซี่


        อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญคือ ชุดตรวจพยาธิใบไม้ตับสำเร็จรูปชนิดเร็ว (OV-ATK) ที่พัฒนาโดยสถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งสามารถตรวจหาการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับได้ภายใน 15 นาที ป้องกันโรคมะเร็งท่อน้ำดี ซึ่งเป็นมะเร็งที่อันตรายถึงชีวิต


        นอกจากนี้ยังมีแผ่นปิดกะโหลกศีรษะผลิตจากไทเทเนียมเข้าสู่สิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อเดือนกันยายน 2566 ที่ผ่านมา โดยนวัตกรรมนี้พัฒนาโดยบริษัทเมติคูลี่ จำกัด ร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และมหาวิทยาลัยมหิดล และมีผู้ป่วยที่ต้องการกะโหลกศีรษะเทียมมากถึง 7,000-20,000 คน และแผ่นปิดกะโหลกศีรษะผลิตจาก ผลิตจากวัสดุ Polymethylmethacrylate ด้วยการพิมพ์ 3 มิติ คิดค้นโดยบริษัท คัสตอมไมซ์ เทคโนโลยี จำกัดทำให้ลดเวลาและเพิ่มความแม่นยำในการผ่าตัดกะโหลกศีรษะ


        ขณะที่ วัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิดไร้เซลล์ พัฒนาโดยบริษัทไบโอเนท ได้บรรจุเข้าสิทธิประโยชน์บัตรทองสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 ส่วนถุงทวารเทียมพัฒนาโดยบริษัท โนวาเทค เฮลธ์แคร์ ได้บรรจุเป็นสิทธิประโยชน์มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561

นอกจากนี้ยังมีเท้าเทียมไดนามิกเอสเพส (sPace) พัฒนาโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกบรรจุเข้าสู่สิทธิประโยชน์เมื่อเดือน มีนาคม 2567 ทำให้คนพิการสามารถเข้าถึงเท้าเทียมที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีคุณสมบัติและความอ่อนนุ่มคล้ายคลึงกับเท้าธรรมชาติ รวมไปถึงถุงทวารเทียมที่ได้มีการผลิตและกระจายใช้ในผู้ป่วยในระบบบัตรทองแล้ว


        “การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนไทย แต่ยังลดการพึ่งพาเทคโนโลยีการแพทย์ที่มีราคาสูงจากต่างประเทศ ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น ขณะเดียวกันยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการพัฒนาเทคโนโลยีซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้ป่วยและอุตสาหกรรมการแพทย์ในประเทศ” ดร.จิตติ์พร กล่าว