
ในยุคที่ข้อมูลสุขภาพถูกรับส่งผ่านโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจเคยได้ยินคำเตือนว่า“คอกระแทกแรง ๆ หรือสะบัดคอบ่อย ๆ อาจเสี่ยงทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น” คำกล่าวนี้สร้างความกังวลให้กับผู้ที่มีอาการปวดคอ รวมถึงคนทำงานออฟฟิศที่มักเคลื่อนไหวคออย่างไม่ระมัดระวัง
นพ. สุทธวีร์ ปังคานนท์ แพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังและข้อ โรงพยาบาล S Spine & Joint Hospital เผยว่า หมอนรองกระดูกสันหลัง (Intervertebral Disc) เป็นแผ่นเจลเนื้ออ่อนที่อยู่ระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละชิ้น ทำหน้าที่ดูดซับแรงกระแทก และช่วยให้กระดูกสันหลังเคลื่อนไหวได้อย่างยืดหยุ่นหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น (Disc Herniation) เกิดจากการที่หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม แตก หรือเคลื่อนออกจากตำแหน่ง จนไปกดเบียดเส้นประสาท ส่งผลให้มีอาการปวดร้าว ชา หรืออ่อนแรงบริเวณแขน ขา หรือหลัง
การหันคอแรง หรือสะบัดคอด้วยความเร็วสูงในบางจังหวะ อาจไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น แต่สำหรับบางคน โดยเฉพาะในผู้ที่มีหมอนรองกระดูกสันหลังเริ่มเสื่อมตามอายุ มีพฤติกรรมที่ใช้คอผิดซ้ำ ๆ หรือมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับกระดูก แรงกระแทกเพียงครั้งเดียวอาจกลายเป็นปัจจัยเร่งให้หมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นได้ทันที
กล่าวได้ว่า คอกระแทกแรง ๆ อาจไม่ทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น “ทันที” ในคนปกติ แต่ในผู้ที่มีความเสื่อมอยู่แล้ว นี่อาจเป็น “ชนวนสุดท้าย” ที่ก่อให้เกิดอาการรุนแรงขึ้นได้ในทันที นพ. สุทธวีร์ ยกเคสที่เคยรักษาพบว่า มีผู้ป่วยอายุน้อยมีภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น จากอุบัติเหตุล้มขณะเล่นสกี ซึ่งถือเป็นกรณีที่พบไม่บ่อยในคนวัยหนุ่มสาว แต่เกิดขึ้นได้จริงจากแรงกระแทกบริเวณ “คอ” และพฤติกรรมที่ถูกมองข้าม หลังล้ม ผู้ป่วยมีอาการปวดคอ โดยเข้าใจว่าเป็นอาการกล้ามเนื้ออักเสบทั่วไป จึงรับประทานยาและทำกายภาพบำบัดมานานกว่า 1 เดือน แต่อาการไม่หายขาด และกลับมาเป็นซ้ำอีกเรื่อย ๆ
“คนไข้เคยไปพบแพทย์หลายแห่ง แต่ส่วนใหญ่บอกว่าเป็นแค่ออฟฟิศซินโดรม ทั้งที่อาการค่อนข้างรุนแรง และปวดจนทำงานไม่ได้”
ช่วงแรก ผู้ป่วยมีเพียงอาการปวดคอ บ่า ไหล่ แต่ไม่ร้าว จนกระทั่ง 1–2 สัปดาห์ก่อนพบแพทย์ อาการเริ่ม “ร้าวลงแขนและนิ้ว” ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนของภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นกดทับเส้นประสาท เมื่อตรวจ MRI พบว่า หมอนรองกระดูกสันหลังบริเวณคอปลิ้นออกมาจริง และจุดที่ปลิ้นนั้น สอดคล้องกับตำแหน่งที่เกิดแรงกระแทกในวันเกิดอุบัติเหตุ
ส่วน สัญญาณอันตรายที่ควรสังเกต: ◦ อาการปวดคอ บ่าไหล่ที่ เป็นต่อเนื่องนานกว่า 2 สัปดาห์ ◦ อาการ ไม่ดีขึ้นแม้จะได้รับยาและทำกายภาพบำบัดแล้ว ◦ อาการ ปวดร้าวลงแขน ลงนิ้ว ◦ มีอาการ ชาหรืออ่อนแรง หากมีอาการชาหรืออ่อนแรง ควรรีบมาพบแพทย์ เพราะหากทิ้งไว้นาน เส้นประสาทอาจเสียหายถาวร และไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้ หรือกลับมาได้เพียงบางส่วน การฟื้นตัวหลังการรักษาก็จะทำได้ยาก ยกเว้นในกรณีที่ถูกบริเวณไขสันหลังโดยตรง ซึ่งจะทำให้มีอาการเยอะมากและเป็นทั้งตัว ขณะที่ บริเวณที่พบหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นบ่อยที่สุดบริเวณคอ ช่วงข้อต่อ C4-C5) และ ข้อ C5-C6 เป็นบริเวณที่พบหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นบ่อยที่สุด เนื่องจากเป็น ข้อต่อที่มีการขยับและเคลื่อนไหวในการก้มเงยมากที่สุด
การป้องกันและดูแล ใช้งานคออย่างถูกวิธี: ปรับท่าทางเมื่อเล่นมือถือไม่ให้ก้มคอมากเกินไป และปรับระดับคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา ◦ หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ: พยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีความเสี่ยง ◦ ออกกำลังกาย: เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคอ เพื่อช่วยให้กระดูกคอเสื่อมช้าลง และใช้งานได้นานขึ้น
โรงพยาบาล S Spine & Joint Hospital เรามีเครื่องมือวินิจฉัยชั้นนำ เช่น MRI ความละเอียดสูง ที่ช่วยตรวจสอบภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น การกดทับเส้นประสาท และความผิดปกติของโครงสร้างกระดูกอย่างแม่นยำ ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด ให้บริการรักษาที่หลากหลายครอบคลุมทุกระดับอาการ ตั้งแต่การรักษาแบบไม่ผ่าตัด เช่น การใช้ยา กายภาพบำบัด และการฉีดยาระงับปวดเฉพาะจุด ไปจนถึงการผ่าตัดผ่านกล้อง (Minimally Invasive Surgery) ที่ช่วยลดแผล เจ็บน้อย และฟื้นตัวไว หากคุณหรือคนที่คุณรักกำลังเผชิญกับปัญหาปวดคอ ปวดหลัง หรือสงสัยว่ามีหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น สามารถเข้ารับคำปรึกษาและตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดได้ที่ โรงพยาบาลเอส สไปน์ โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง ปรึกษาโทร 02 034 0808
