
ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ผลิตแพทย์ออกไปแล้วประมาณ 10,000 คน โดยในแต่ละปีจะมีบัณฑิตแพทย์สำเร็จการศึกษาประมาณ 200 คน พร้อม นำนวัตกรรมแพทย์ช่วยยกระดับผู้ป่วยในไทย ด้วย นวัตกรรมการรักษาด้วยเซลล์ เตรียมสร้างอาคารใหม่ มีพื้นที่ของอาคารกว่า 15 ไร่ โดยมีพื้นที่ใช้สอยกว่า 278,000 ตารางเมตร

ศ.คลินิก นพ.อาทิตย์ อังกานนท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีและประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิรามาธิบดี กล่าวถึง พันธกิจหลัก ของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี คือการจัดการศึกษา สร้างงานวิจัย ให้การบริการวิชาการ และดูแลสุขภาพ เพื่อสุขภาวะของสังคม โดยในด้านการรักษาพยาบาล โรงพยาบาลรามาธิบดีให้การรักษาผู้ป่วยนอกประมาณปีละเกือบ 2,000,000 – 2,500,000 ครั้ง และรับผู้ป่วยในที่เข้ารับการรักษาแบบแอดมิดประมาณปีละ 60,000 ราย โรงพยาบาลรามาธิบดีถือเป็นโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการซับซ้อน ที่เกิขีดความสามารถของโรงพยาบาลทั่วไป จึงต้องส่งต่อมายังโรงพยาบาลรามาธิบดี โดยดูจากค่าความซับซ้อนของโรค หรือ Case Mix Index (CMI) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3.3 ซึ่งเชื่อว่าเป็นโรงพยาบาลที่มีค่าความซับซ้อนที่สูงที่สุดในประเทศไทย
โรงพยาบาลรามาธิบดีมีการบริหารจัดการเพื่อให้ผู้ป่วยที่มีภาวะซับซ้อนสามารถเข้ารับการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะลุกลาม การผ่าตัดโรคหัวใจที่มีความซับซ้อนสูง หรือโรคอื่น ๆ การรักษาพยาบาลจึงเป็นหน้าที่หลักที่โรงพยาบาลดำเนินการอย่างเต็มความสามารถ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้โรงพยาบาลรามาธิบดีได้รับความเชื่อมั่นอยู่ในลำดับต้น ๆ ของโรงพยาบาลที่มีความน่าเชื่อถือ เทียบเท่ากับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลศิริราช หรือโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำในกรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ผลิตแพทย์ออกไปแล้วประมาณ 10,000 คน โดยในแต่ละปีจะมีบัณฑิตแพทย์สำเร็จการศึกษาประมาณ 200 คน ในอดีตเมื่อมีคณะแพทย์อยู่เพียงไม่กี่แห่ง คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ถือเป็นคณะแพทย์ลำดับที่ 4 ของประเทศไทยที่ก่อตั้งขึ้น ปัจจุบันประเทศไทยมีคณะแพทย์เกือบ 30 แห่งทั่วประเทศ แต่คณะฯ ก็ยังคงเป็นหนึ่งในคณะที่มีจำนวนบัณฑิตแพทย์สำเร็จการศึกษาจำนวนมาก นอกจากนี้ คณะฯ ยังมุ่งผลิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา ทั้งอายุรศาสตร์ ศัลยศาสตร์ สูติศาสตร์ และกุมารเวชศาสตร์ และสาขาย่อยต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคระบบทางเดินอาหาร โรคปอด ศัลยกรรมเฉพาะทาง ศัลยกรรมเปลี่ยนอวัยวะ ปัจจุบันคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ยังผลิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดและการเปลี่ยนอวัยวะ เช่น การปลูกถ่ายไตและตับ เป็นต้น
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ถือเป็นหนึ่งในสถาบันไม่กี่แห่งในประเทศไทยที่สามารถสร้างบุคลากรทางการแพทย์เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยโรคซับซ้อน ด้วยศักยภาพด้านการรักษาพยาบาลและการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ ทำให้โรงพยาบาลรามาธิบดีมีบทบาทสำคัญในการยกระดับความสามารถด้านการรักษาของประเทศไทยจนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ทั้งนี้ ผลงานวิจัยของคณาจารย์ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำของโลกอย่างต่อเนื่อง และผลลัพธ์จากการรักษาพยาบาลและการวิจัยเหล่านี้ยังถูกถ่ายทอดและนำมาพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไปในอนาคต
ด้านการรักษาพยาบาล โรงพยาบาลรามาธิบดีมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในเรื่องการปลูกถ่ายอวัยวะ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกถ่ายไต ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการมาแล้วกว่า 3,000 ราย และถือเป็นโรงพยาบาลที่มีจำนวนการปลูกถ่ายไตมากที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีการปลูกถ่ายตับและการปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่งดำเนินการมาแล้วมากกว่า 2,000 ราย อีกทั้งยังมีการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจและปอด และในบางกรณีมีการปลูกถ่ายอวัยวะทั้งสามพร้อมกัน เช่น หัวใจและปอด
โรงพยาบาลรามาธิบดีได้นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา เช่น การใช้หุ่นยนต์ช่วยในการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ เพื่อให้การรักษามีความแม่นยำและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคซับซ้อนอื่น ๆ เช่น การรักษาลิ้นหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดแบบเปิดอก แต่ใช้เทคนิคการซ่อมแซมลิ้นหัวใจผ่านสายสวน
อีกหนึ่งความก้าวหน้าสำคัญ คือการรักษาด้วยยีนบำบัด ซึ่งเป็นการตัดต่อทางพันธุกรรมเพื่อรักษาโรคธาลัสซีเมีย โรงพยาบาลรามาธิบดีถือเป็นแห่งแรกในประเทศไทยที่นำการรักษารูปแบบนี้มาใช้ โรคธาลัสซีเมียซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมเดิมที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการให้เลือดตลอดชีวิต แต่หากสามารถแก้ไขพันธุกรรมของผู้ป่วยได้ ก็จะสามารถทำให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้เช่นเดียวกับคนปกติ โดยไม่ต้องพึ่งพาการให้เลือดอีกต่อไป
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล มุ่งหวังที่จะเป็นคณะแพทย์ที่มีความร่วมมือกับสถาบันการแพทย์ชั้นนำทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นภูมิภาคเอเชีย อาทิ ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น รวมถึงยุโรปและสหรัฐอเมริกา เพื่อทำให้องค์ความรู้ของคณะสามารถเชื่อมโยงและนำไปใช้ได้ในระดับนานาชาติ ทั้งนี้ ประเทศไทยจะได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการแพทย์และสาธารณสุขในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน
นอกจากความร่วมมือด้านวิชาการทางการแพทย์แล้ว คณะฯ ยังมุ่งสร้างความเชื่อมโยงกับศาสตร์แขนงอื่น ๆ เช่น วิศวกรรมศาสตร์ การจัดการ และวิทยาศาสตร์แขนงต่าง ๆ จนเกิดเป็นหลักสูตร “แพทย์ไฮบริด” อาทิ “แพทย์นวัตกรรม” ขึ้น จากการผสมผสานหลักสูตรทั้งปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต และปริญญาวิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต เนื่องจากการรักษาพยาบาลในปัจจุบันต้องอาศัยเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าอย่างมาก หากแพทย์ไม่เข้าใจหรือไม่สามารถบูรณาการเทคโนโลยีสมัยใหม่ อาทิ หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก็อาจไม่สามารถพัฒนาองค์ความรู้และตอบโจทย์ความต้องการของการแพทย์ยุคใหม่ได้ ดังนั้น การร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ จะช่วยให้คณะฯ สามารถผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสร้างองค์ความรู้ที่เชื่อมโยงศาสตร์หลายแขนงเข้าด้วยกัน ทำให้การทำงานของแพทย์มีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม
นำนวัตกรรมแพทย์ช่วยยกระดับผู้ป่วยในไทย ด้วย นวัตกรรมการรักษาด้วยเซลล์ (Advanced Therapeutic Medicinal Product) หรือ ATMP (Advanced Therapeutic Medicinal Product) ซึ่งหมายถึงการนำเซลล์ของมนุษย์มาใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ โดยพบว่าบางครั้งอาจมีผู้ป่วยบางรายที่สามารถหายจากโรคได้เองโดยธรรมชาติ เช่น กรณีผู้ป่วยโรคมะเร็งที่หายเองโดยไม่ได้รับการรักษา ซึ่งเกิดขึ้นน้อยมาก อาจไม่ถึง 1 ใน 1,000 ราย เหตุผลที่ผู้ป่วยบางรายหายได้เองนั้น มาจากความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันที่พัฒนาขึ้นจนสามารถจัดการกับโรคได้ คณะฯ จึงมีความสนใจในการวิจัยว่าจะสามารถกระตุ้นหรือเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยทั่วไปให้มีประสิทธิภาพเช่นนั้นได้อย่างไร โดยปัจจุบันโรงพยาบาลรามาธิบดีได้จัดตั้ง ศูนย์ CTMED ซึ่งเป็นศูนย์สำหรับการผลิตและเพาะเลี้ยงเซลล์ที่ใช้เป็น "อาวุธ" ในการรักษาโรคต่าง ๆ เราได้สร้างห้องปฏิบัติการแบบ Clean Room ขนาดใหญ่ เพื่อการวิจัยและรักษาด้วยเซลล์ ณ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์
ในระยะเริ่มต้น คณะฯ ได้พัฒนาเซลล์เพื่อใช้รักษาโรคที่ยังไม่ซับซ้อนมากนัก เช่น การรักษากระดูกหักที่ไม่สามารถเชื่อมติดกันเอง เพื่อช่วยให้กระดูกเชื่อมต่อได้เร็วและแข็งแรงขึ้น หรือการผลิตเซลล์ผิวหนังทดแทนในกรณีผู้ป่วยที่ถูกไฟไหม้จนสูญเสียผิวหนังเป็นบริเวณกว้าง ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตอย่างมาก แต่ในอนาคต คณะฯ มีแผนวิจัยการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อ "ติดอาวุธ" ให้เซลล์ โดยเฉพาะการพัฒนา T-Cell ที่สามารถต่อสู้กับโรคต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการแก้ไขพันธุกรรมของผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย เพื่อนำไปสู่การรักษาให้หายขาด ปัจจุบันเรายังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้นของการทดลองหาวิธีการรักษาโรคทางพันธุกรรมประเภทนี้
การรักษาด้วยวิธีพันธุกรรมได้เริ่มมีการพัฒนาแล้ว และโรงพยาบาลรามาธิบดีมีความร่วมมือกับต่างประเทศในหลายกรณี แต่ค่าใช้จ่ายในการรักษายังค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องจ่ายค่าสิทธิบัตรและองค์ความรู้ไปยังประเทศตะวันตก ซึ่งค่ารักษาในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 15–20 ล้านบาทต่อราย ขณะที่ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียจำนวนหลายแสนคน การรักษาด้วยอัตราค่าใช้จ่ายเช่นนี้จึงไม่สามารถครอบคลุมผู้ป่วยทั้งหมดได้ ดังนั้น หากเราสามารถวิจัยและพัฒนาวิธีการผลิตและรักษาด้วยพันธุกรรมบำบัดให้มีต้นทุนที่เข้าถึงได้ จะทำให้ผู้ป่วยชาวไทยที่เกิดมาพร้อมโรคนี้มีโอกาสหายขาดและกลับมาใช้ชีวิตเช่นคนปกติได้มากขึ้น
อย่าวไรก็ดี ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่ ‘แห่งความหวัง’ แต่เป็นพื้นที่ ‘แห่งการวิจัยและนวัตกรรม’ สำหรับส่วนของ อาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีแห่งใหม่ เหตุผลสำคัญที่ต้องสร้างอาคารใหม่ขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้พื้นที่เดิมไม่เพียงพอต่อการให้บริการ อีกทั้งอาคารหลักของโรงพยาบาลซึ่งก่อสร้างมากว่า 60 ปี แม้ในยุคนั้นจะถือเป็นอาคารสมัยใหม่ที่ออกแบบอย่างล้ำหน้า แต่ก็จะมีความยากลำบากในการปรับปรุงให้เข้ากับมาตรฐานปัจจุบัน
โดยมีจุดเด่นของอาคาร อาทิ:
• มีพื้นที่ของอาคารกว่า 15 ไร่ โดยมีพื้นที่ใช้สอยกว่า 278,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับต่อความต้องการทางแพทย์ที่เพิ่มขึ้นภายในประเทศไทย
• บูรณาการณ์ระบบ “โรงพยาบาลอัจฉริยะ” หรือ Smart Hospital เข้ามาช่วยส่งเสริมความสามารถในการนำเสนอบริการและคำปรึกษาด้านการแพทย์ได้อย่างตรงจุด อาทิ ผสมผสานนวัตกรรมเอไอเพื่อนำเสนอ หรือการรักษาแบบจำเพาะ หรือ Personalized Medicine เพื่อจัดการการวินิจฉัย การรักษาที่เหมาะสมจำเพาะบุคคล อีกทั้งยังมีการออกแบบโรงพยาบาลเพื่อให้ผู้รับบริการมีความสะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น
• มีการออกแบบอาคารโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้งานเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมในการรับมืออุบัติภัยต่าง ๆ อาทิ ออกแบบและวางแผนการสร้างอาคารตามกฎกระทรวง ที่กำหนดให้อาคารสามารถรองรับน้ำหนักได้มากขึ้นและทนทานต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่อาจก่อให้เกิดการสั่นสะเทือน อีกทั้งยังมีการวางแผนเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไฟไหม้ โดยใช้เทคโนโลยีการกักเก็บควันไฟไว้ในพื้นที่ได้โดยที่ควันไม่กระจายสู่พื้นที่อื่นๆ รวมถึงวางแผนระบบลิฟต์ภายในอาคารเพื่อลดความแออัด และลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ทั้งนี้ยังมีการวางแผนจัดทำแอปพลิเคชันแผนที่ภายในตัวอาคาร เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางและช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการติดต่อรับบริการทางการแพทย์แก่ผู้ป่วยคนไทยทุกคนอีกด้วย
• ปัจจุบันโครงการอยู่ในขั้นตอนรอการเซ็นสัญญา และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปีนี้
" เป็นที่เข้าใจกันดีว่าผู้ที่มารับบริการที่โรงพยาบาลรามาธิบดีมักจะประทับใจในทุกด้าน ยกเว้นปัญหาที่จอดรถที่หายาก ซึ่งไม่เพียงแต่ผู้ป่วยเท่านั้นที่ประสบปัญหานี้ บุคลากรของเราก็เผชิญความยากลำบากเช่นเดียวกัน เนื่องจากโรงพยาบาลตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ระบบขนส่งสาธารณะไม่ได้ผ่านโดยตรง สถานีที่ใกล้ที่สุดคือ BTS อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร หรือใช้เวลาเดินประมาณ 15-20 นาที ในปัจจุบัน เรากำลังดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาที่จอดรถ โดยได้ขอความร่วมมือจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ในการใช้พื้นที่จอดรถใต้ดินบริเวณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมีที่จอดรถเพียงพอและยังไม่ค่อยมีผู้ใช้บริการมากนัก อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนในด้านราคาค่าบริการที่ค่อนข้างถูก เช่น จอดรถ 6 ชั่วโมงในราคาเพียง 50 บาท นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังจัดบริการรถรับส่ง (Shuttle Bus) จากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์มายังโรงพยาบาลรามาธิบดี โดยรถจะออกทุก 10-15 นาที และให้บริการฟรี คาดว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาที่จอดรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับผู้ที่สะดวกใช้รถไฟฟ้า ปัจจุบันมีขบวนรถไฟจากสถานีบางซื่อที่จอดบริเวณด้านหลังโรงพยาบาลรามาธิบดี โดยมีประมาณ 4-5 ขบวนในช่วงเช้า และประมาณ 7 ขบวนในช่วงเย็น ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 15 นาที ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้มาใช้บริการ ในอนาคตจะมีการก่อสร้าง รถไฟฟ้าสายสีแดง จากบางซื่อไปหัวลำโพง ซึ่งจะมีสถานีตั้งอยู่ด้านหลังโรงพยาบาลรามาธิบดี ทำให้การเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังได้เริ่มดำเนินโครงการก่อสร้างทางเดินลอยฟ้า (Skywalk) จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเชื่อมต่อถึงบริเวณแยกตึกชัย และเชื่อมเข้าสู่ Skywalk ของโรงพยาบาลรามาธิบดี ทำให้ผู้ที่ลงรถที่สถานี BTS อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิสามารถเดินเข้าสู่โรงพยาบาลได้สะดวกและร่มรื่นมากขึ้น ทั้งนี้ เมื่ออาคารใหม่แล้วเสร็จ เราคาดว่าจะมีที่จอดรถเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหานี้ได้ในระยะยาว" คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าว
ด้าน คุณพรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งมูลนิธิรามาธิบดีเกิดจาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ ดร.อารีย์ วัลยะเสวี คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่เล็งเห็นว่าประชาชนมีความประสงค์จะบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ ความตั้งใจนี้ได้ขยายวงกว้างขึ้นจากเดิมที่มุ่งช่วยผู้ป่วยขาดแคลนค่ารักษาพยาบาล ไปสู่การสนับสนุนการรักษาพยาบาลที่มีค่าใช้จ่ายสูงมากขึ้นในปัจจุบัน เช่น การปลูกถ่ายอวัยวะที่มีค่าใช้จ่ายสูงและยาบางชนิดที่มีราคาสูงมาก นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังต้องหยุดงานเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อเข้ารับการรักษา และหากเป็นผู้ป่วยเด็ก บิดามารดาก็ต้องหยุดงานเพื่อดูแลบุตร
ในปีที่ผ่านมาได้เผชิญกับหลากหลายเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเหตุไฟไหม้หรือเหตุแผ่นดินไหว เป็นวิกฤต ที่คนไทยต่างร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือ โดยผู้บริจาคหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้บริจาครายใหม่เพิ่มขึ้นถึงกว่า 40% ในขณะเดียวกัน การช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ก็ยังเป็นภารกิจสำคัญ เนื่องจากยังมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ซึ่งสิทธิ์การรักษาก็ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด อย่างไรก็ตามโครงการเพื่อผู้ป่วยยากไร้ ก็ยังเป็นโครงการหลักสำคัญ โดยมูลนิธิยังเดินหน้าต่อยอดการสนับสนุนไปสู่การสร้างองค์ความรู้ การเรียนการสอน และการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงให้กับระบบสุขภาพของประเทศไทย"
สำหรับโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี เปิดให้บริการสำหรับคนไทยทุกคน รวมทั้ง ผู้ป่วยโครงการ 30 บาท และประกันสังคม ถือเป็น Mega Project ด้วยงบประมาณจำนวนมากและแนวคิดการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับ User-Centric Design ยังเป็นโครงการหลักในการระดมทุนต่อไปอีกอย่างน้อย 7 ปี นอกจากนี้ เรายังมีการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจัดตั้ง ศูนย์การแพทย์รามาธิบดีศรีอยุธยา สุขภาพที่ยืนยาว คือความสุขที่ยั่งยืน ซึ่งมุ่งเน้นการดูแลสุขภาพเชิงรุก โดยเน้นการดูแลรักษาสุขภาพเพื่อให้ประชาชนสามารถคงสุขภาพที่ดีได้ในระยะยาว คาดว่าจะเปิดให้บริการปลายปี 2568
จากจุดเริ่มต้นแนวคิดในปี 2554 มูลนิธิรามาธิบดีฯ สร้างสรรค์และพัฒนา เพื่อเพิ่มคุณค่าให้แก่ของที่ระลึกการกุศลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาได้ของดี มีคุณภาพ สวยงาม ใช้งานได้จริง เหมาะที่จะเป็นของขวัญที่มีความหมาย ส่งต่อให้แก่ผู้เป็นที่รักได้ในหลายวาระโอกาส ทั้งยังได้รับความสุขใจ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ และพัฒนาวงการแพทย์ให้ก้าวหน้าอีกด้วย และ ในปัจจุบัน LINE Official Facebook และTikTok ยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลัก ในการเข้าถึงข่าวสารของมูลนิธิ การปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย โดยขยายการสื่อสารไปสู่ช่องทางที่ตอบโจทย์กลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ ซึ่งในปีที่ผ่านมา กลุ่ม Gen Z มีการเติบโตของผู้บริจาคกว่า 10% เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับกลุ่มคนทุกเพศ ทุกวัย
" มูลนิธิรามาธิบดีฯ มุ่งมั่นขับเคลื่อนระบบบริหารจัดการด้านการให้เพื่อสังคม ด้วยความจริงใจและยึดหลักธรรมา ภิบาล เพื่อสนับสนุนพันธกิจของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ในการยกระดับการดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างทั่วถึงและยั่งยืน มูลนิธิรามาธิบดีฯ ยังมุ่งสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ในทุกมิติ ด้วยการทำงานอย่างจริงใจ เพื่อเป็นศูนย์กลางแห่งการให้ ที่ทุกคนเข้าถึงได้ สัมผัสได้ และร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน” ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวทิ้งท้าย
#คำว่าให้ไม่สิ้นสุด
