สมุนไพรไทย “พืชสกุลพลับพลึง – กระชายดำ” ทางเลือกใหม่ยับยั้งความเสี่ยงต่อมลูกหมากโต จากทีมวิจัยจุฬาฯ

www.medi.co.th

ทีมนักวิจัยจุฬาฯ พัฒนาทางเลือกใหม่ลดความเสี่ยงต่อมลูกหมากโต ชูสมุนไพรไทย “พืชสกุลพลับพลึง” และ “กระชายดำ” ช่วยยับยั้งกลไกการเกิดโรคได้ตรงจุด ไม่กระทบสมรรถภาพทางเพศ ผลงานเด่นคว้ารางวัลเหรียญทองระดับนานาชาติ พร้อมเปิดโอกาสยกระดับสมุนไพรไทยสู่ตลาดสุขภาพโลก


คุณตื่นมาปัสสาวะกลางดึกบ่อยหรือเปล่า? หรือใช้เวลาปัสสาวะในห้องน้ำมากกว่าปกติหรือไม่ ? หากคำตอบคือ “ใช่” และคุณเป็นผู้ชายวัย 40 ปีขึ้นไป อย่ามองข้ามอาการเหล่านี้ เพราะมันอาจเป็นสัญญาณเตือนของ “โรคต่อมลูกหมากโต”
แม้ในปัจจุบันการรักษาทางการแพทย์จะมีทั้งการใช้ยาและการผ่าตัด แต่ก็มีข้อจำกัดด้านผลข้างเคียงและค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังไม่สามารถหยุดยั้งความเสื่อมของเซลล์ต่อมลูกหมากในระยะยาวได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ทีมนักวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงพยายามคิดค้นทางเลือกใหม่ในการรักษา ซึ่งพัฒนามาจากสมุนไพรไทย 2 ชนิดคือ “พืชในสกุลพลับพลึง” และ “กระชายดำ” ที่สามารถยับยั้งกลไกการเกิดโรคต่อมลูกหมากโตได้อย่างตรงจุด ซึ่งงานวิจัยและคิดค้นนวัตกรรมทั้ง 2 ชิ้นดังกล่าวคว้ารางวัลเหรียญทองระดับนานาชาติ สะท้อนถึงศักยภาพของภูมิปัญญาไทยที่ผสานเข้ากับเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ และพร้อมต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพเพศชายอย่างยั่งยืน

โรคต่อมลูกหมากโตคืออะไร?
ต่อมลูกหมาก (Prostate gland) เป็นอวัยวะหนึ่งในระบบสืบพันธุ์เพศชาย มีลักษณะคล้ายลูกเกาลัด หรือผลวอลนัท อยู่บริเวณใต้กระเพาะปัสสาวะและล้อมรอบท่อปัสสาวะส่วนต้น หน้าที่หลักของต่อมลูกหมากคือการผลิตของเหลวที่เป็นส่วนประกอบของน้ำอสุจิ (semen) ซึ่งมีหน้าที่ในการหล่อเลี้ยงและลำเลียงตัวอสุจิ


ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ร.ต.อ.หญิง ดร.สุชาดา สุขหร่อง ภาควิชาเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า โรคต่อมลูกหมากโต หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า Benign Prostatic Hyperplasia (BPH) เป็นภาวะที่เซลล์เนื้อเยื่อต่อมลูกหมากมีการเจริญเติบโตมากผิดปกติ ทั้งขยายตัวมากขึ้นและเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้ต่อมลูกหมากมีขนาดใหญ่ โดยในบางรายอาจมีขนาดใหญ่เท่าลูกเทนนิส หรือผลส้ม


อาการของต่อมโรคหมากโต
ศ.ภญ.ร.ต.อ.หญิง ดร.สุชาดา อธิบายว่าโรคต่อมลูกหมากโตไม่ใช่เนื้อร้ายหรือมะเร็ง แต่ด้วยความที่ขนาดต่อมลูกหมากใหญ่ขึ้น จึงไปกดท่อปัสสาวะจนทำให้เกิดอาการผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะได้ อาการมักเริ่มจากปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะเวลากลางคืน รู้สึกปวดปัสสาวะอย่างเฉียบพลัน กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะลำบากหรือสะดุด ซึ่งอาการเหล่านี้หากไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ การเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรือในบางรายอาจพัฒนาไปสู่ภาวะไตเสื่อมในระยะยาว ซึ่งล้วนส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และการใช้ชีวิตประจำวัน“


โรคต่อมลูกหมากโตเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในผู้ชายวัยกลางคนและผู้สูงอายุ ความชุกของโรคจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยมากกว่า 80% ของผู้ชายอายุ 80 ปีขึ้นไปจะมีภาวะนี้ นอกจากอายุแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศชาย การอักเสบเรื้อรัง โรคเบาหวาน และภาวะอ้วน ซึ่งล้วนมีส่วนกระตุ้นให้ต่อมลูกหมากโตกว่าปกติทั้งสิ้น”


ต่อมลูกหมากโต รักษาอย่างไร?


แนวทางการรักษาในปัจจุบันจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 แนวทางหลัก ได้แก่ การรักษาด้วยยา ได้แก่ ยากลุ่ม 5-alpha reductase inhibitors เช่น finasteride ซึ่งจะช่วยลดขนาดของต่อมลูกหมากให้เล็กลง และยากลุ่ม alpha-blockers เช่น tamsulosin ที่จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณคอกระเพาะปัสสาวะคลายตัว ทำให้ปัสสาวะได้สะดวกมากขึ้น


การรักษาด้วยหัตถการหรือการผ่าตัด มักใช้ในกรณีที่อาการรุนแรงหรือในรายที่ไม่ตอบสนองต่อยา และแม้การรักษาจะสามารถบรรเทาอาการให้ดีขึ้น แต่โรคต่อมลูกหมากโตถือเป็นภาวะเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดแบบถาวรได้ และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกในระยะยาว


“การใช้ยาในการรักษาโรคต่อมลูกหมากโตอาจมีผลข้างเคียงทำให้หย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ จึงเป็นที่มาของการค้นพบสมุนไพรที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอาการต่อมลูกหมากโตโดยไม่กระทบต่อการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ” ศ.ภญ.ร.ต.อ.หญิง ดร.สุชาดา กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของผลงานการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมในการรักษาโรคต่อมลูกหมากโตด้วยสมุนไพร 2 เรื่อง ได้แก่ “สัดส่วนทองคำของสารทรงฤทธิ์จากพืชสกุลพลับพลึง ที่ยับยั้งการอักเสบของโรคต่อมลูกหมากโต” และ “สารสกัดเมทอกซีฟลาโวนเข้มข้นจากกระชายดำที่มีกลไกยับยั้งการเกิดโรคต่อมลูกหมากโต”


งานวิจัยจุฬาฯ ผสานคุณค่าภูมิปัญญาไทยกับวิทยาศาสตร์


“สัดส่วนทองคำของสารทรงฤทธิ์จากพืชสกุลพลับพลึง ที่ยับยั้งการอักเสบของโรคต่อมลูกหมากโต” เป็นผลงานวิจัยและนวัตกรรมซึ่งเกิดจากการผสานภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยเข้ากับเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ศ.ภญ.ร.ต.อ.หญิง ดร.สุชาดา อธิบายว่า “นวัตกรรมนี้เริ่มต้นจากความพยายามในการค้นหาสารออกฤทธิ์ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่อมลูกหมากโต โดยเน้นไปที่กลไกการอักเสบ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการเกิดโรค แต่ยังไม่มียารักษาที่ออกฤทธิ์ผ่านกลไกนี้อย่างชัดเจน”


ในที่สุด ทีมวิจัยค้นพบสารออกฤทธิ์ดังกล่าวจากพืชไทย โดยอ้างอิงจากภูมิปัญญาไทยที่กล่าวถึง “ฤทธิ์ของพืชในสกุลพลับพลึง” เช่น Crinum latifoliumที่มีรายงานการใช้เพื่อช่วยบรรเทาอาการทางระบบปัสสาวะในเพศชาย


“จากการศึกษาของทีมวิจัย พบสารสำคัญจากพืชสกุลนี้ ได้แก่ lycorine และ 6α-hydroxybuphanidrine ในอัตราส่วน 1:1 โดยน้ำหนัก จะออกฤทธิ์เสริมกันแบบ multi-targeted mechanism ช่วยยับยั้งกระบวนการอักเสบและยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเซลล์ต่อมลูกหมาก จึงมีศักยภาพสูงในการพัฒนาเป็นสารออกฤทธิ์ทางเลือกสำหรับการจัดการกับโรคต่อมลูกหมากโต และมีศักยภาพในการพัฒนาต่อยอดทางยาในอนาคตได้” ศ.ภญ.ร.ต.อ.หญิง ดร.สุชาดา กล่าว


“สัดส่วนทองคำ” ของสารทรงฤทธิ์จากพืชสกุลพลับพลึง


ศ.ภญ.ร.ต.อ.หญิง ดร.สุชาดา อธิบายความหมายของคำว่า “สัดส่วนทองคำ” (Golden Ratio) ว่าหมายถึงอัตราส่วนที่เหมาะสมที่สุดของสารทั้งสองชนิดที่ให้ผลเสริมฤทธิ์สูงสุด โดยผ่านการทดสอบในเซลล์สโตรมาของต่อมลูกหมาก นวัตกรรมนี้จึงไม่ใช่เพียงการนำสมุนไพรมาใช้ตามภูมิปัญญาเท่านั้น แต่ยังอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์เพื่อกำหนดสัดส่วนที่มีประสิทธิภาพสูง พร้อมทั้งควบคุมปริมาณสารสำคัญให้สม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีมาตรฐานในระดับอุตสาหกรรมต่อไปได้


นวัตกรรมนี้ยังแสดงให้เห็นถึงทางเลือกใหม่ของการพัฒนายารักษาโรคต่อมลูกหมากโตจากการออกฤทธิ์ที่มุ่งเป้าไปที่การยับยั้งผ่านกลไกการอักเสบ จึงแตกต่างจากยารักษาปัจจุบันที่เน้นเพียงการยับยั้งผ่านกลไกของฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งข้อมูลนี้มีความสำคัญต่อการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์สุขภาพจากสมุนไพรไทยที่มีศักยภาพในการต่อยอดเชิงพาณิชย์ในอนาคต


ปัจจุบันผลงานดังกล่าวได้ดำเนินการยื่นขอจดอนุสิทธิบัตรและอยู่ระหว่างการเผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ


กระชายดำ ภูมิปัญญาพื้นบ้านสู่นวัตกรรมระดับโลก


นวัตกรรม “สารสกัดเมทอกซีฟลาโวนเข้มข้นจากกระชายดำที่มีกลไกยับยั้งการเกิดโรคต่อมลูกหมากโต” เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของทีมวิจัยนำโดย รองศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ร.ท.หญิง ดร.ภัสราภา โตวิวัฒน์ ภาควิชาเภสัชวิทยาและสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการต่อยอดองค์ความรู้ด้านสมุนไพรไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาสุขภาพของผู้ชายวัยกลางคนและผู้สูงอายุ โดยเฉพาะโรคต่อมลูกหมากโตที่พบได้บ่อยและส่งผลต่อคุณภาพชีวิต


รศ.ภญ.ร.ท.หญิง ดร.ภัสราภา เปิดเผยว่าการเลือกใช้กระชายดำ (Kaempferia parviflora) เป็นวัตถุดิบหลักมิใช่เรื่องบังเอิญ สมุนไพรไทยชนิดนี้อุดมไปด้วยสารในกลุ่มเมทอกซีฟลาโวน (methoxyflavones) ที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5α-reductase ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนเทสโทสเทอโรนไปเป็น DHT (Dihydrotestosterone) ตัวกระตุ้นให้ต่อมลูกหมากขยายตัว


“สารสกัดเมทอกซีฟลาโวนเข้มข้นจากกระชายดำมีคุณสมบัติทางชีวภาพที่โดดเด่น ได้แก่ ฤทธิ์ต้านการอักเสบ และฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5α-reductase นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสียหายของเซลล์ และมีส่วนช่วยส่งเสริมการไหลเวียนเลือด ซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพของต่อมลูกหมากและระบบสืบพันธุ์โดยรวม”


รศ.ภญ.ร.ท.หญิง ดร.ภัสราภา อธิบายถึงกระบวนการสกัดสารเมทอกซีฟลาโวนที่พัฒนาขึ้นใหม่และจดอนุสิทธิบัตรว่า กรรมวิธีนี้ทำให้ได้ปริมาณ 5,7-ไดเมทอกซีฟลาโวนในสารสกัดสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญกว่ากรรมวิธีตามแบบแผนมากกว่าร้อยละ 11.95 และได้สารสกัดเมทอกซีฟลาโวนที่มีความเข้มข้นสูงกว่า 12% โดยมวล ด้วยการใช้ตัวทำละลายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ได้สารสกัดที่มีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยต่อผู้บริโภค


ประสิทธิภาพสารสกัดกระชายดำที่เหนือกว่าสมุนไพรชนิดอื่น


เมื่อเปรียบเทียบกับสารสกัดกระชายดำทั่วไป สารสกัดที่ผ่านการเพิ่มความเข้มข้นนี้แสดงฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเซลล์ได้ดีกว่าถึง 10 เท่า และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับสมุนไพรชนิดอื่นที่มีการศึกษาในด้านการยับยั้งต่อมลูกหมากโต เช่น Saw palmetto (ปาล์มเลื้อย), Pygeum africanum (พืชที่พบในแอฟริกา) หรือตำรับสมุนไพรจีน พบว่าสารเมทอกซีฟลาโวนจากกระชายดำมีจุดเด่นเฉพาะในด้านกลไกการออกฤทธิ์แบบหลายเป้าหมาย นอกจากจะยับยั้งเอนไซม์ 5α-reductase ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการรักษาต่อมลูกหมากโตเหมือนกับยา finasteride แล้วสารเมทอกซีฟลาโวนยังสามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเซลล์ผ่านกลไกของ TGF-β ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


“ที่สำคัญคือกระชายดำยังมีฤทธิ์ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศและส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบเหนือยาบางชนิดที่อาจส่งผลข้างเคียงต่อสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย”


รศ.ภญ.ร.ท.หญิง ดร.ภัสราภา กล่าวเพิ่มเติมว่ากระชายดำมีข้อได้เปรียบด้านความปลอดภัย การยอมรับในภูมิปัญญาพื้นบ้าน และมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลากหลาย ซึ่งตอบโจทย์การดูแลสุขภาพองค์รวมของผู้ชายวัยกลางคนและผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี การพัฒนาให้เป็นสารสกัดเมทอกซีฟลาโวนเข้มข้นที่ได้มาตรฐาน จึงถือเป็นการยกระดับจากภูมิปัญญาสู่นวัตกรรมสมุนไพรเชิงสุขภาพที่มีศักยภาพต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ และสามารถแข่งขันในตลาดสุขภาพระดับโลกได้ในอนาคต


งานวิจัยสมุนไพรยกระดับเศรษฐกิจเกษตรกรไทย


การพัฒนานวัตกรรมจากกระชายดำมีส่วนช่วยเกษตรกรไทยอย่างเป็นรูปธรรม ศ.ภญ.ร.ท.หญิง ดร.ภัสราภา กล่าว
“กระชายดำเป็นพืชสมุนไพรเศรษฐกิจที่ปลูกได้ดีในหลายพื้นที่ของประเทศไทย เมื่อมีการพัฒนางานวิจัยที่ยกระดับกระชายดำจากพืชพื้นบ้านไปสู่นวัตกรรมด้านสุขภาพที่มีศักยภาพในระดับสากล ความต้องการวัตถุดิบคุณภาพสูงจึงเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงให้เกษตรกร นอกจากนี้ ยังเป็นแรงผลักดันให้เกิดการจัดระบบการปลูก การแปรรูป และการควบคุมคุณภาพตามมาตรฐาน GMP ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กระชายดำจากเดิมหลายเท่า รวมทั้งยังเปิดโอกาสให้เกษตรกรเข้าถึงตลาดที่มีศักยภาพสูงในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสมุนไพรทางเลือกในระยะยาวได้”


งานวิจัยทั้ง 2 ผลงานได้รับการสนับสนุนทุนจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) ผลงานนวัตกรรมทั้งสองได้รับการยอมรับในเวทีนานาชาติ โดยคว้ารางวัลเหรียญทองจาก “The 8th China (Shanghai) International Invention & Innovation Expo 2025″ ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน และได้รับรางวัล NRCT SPECIAL AWARD จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สะท้อนถึงศักยภาพของนวัตกรรมทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ กลไกการออกฤทธิ์ที่ชัดเจน และความเป็นไปได้ในการพัฒนาเชิงอุตสาหกรรม นอกจากนี้ทั้งสองนวัตกรรมยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนและนักวิจัยจากยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยและมีศักยภาพในการพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพได้จริงในตลาดโลก


วิสัยทัศน์พัฒนางานวิจัยสมุนไพรไทยสู่อนาคต


ศ.ภญ.ร.ต.อ.หญิง ดร.สุชาดา และ ศ.ภญ.ร.ท.หญิง ดร.ภัสราภา เปิดเผยว่า ทีมวิจัยมีแผนพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือยาสมุนไพรที่ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคต่อมลูกหมากโต โดยจะมีการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพเพิ่มเติมทั้งในระดับสัตว์ทดลองและการศึกษาทางคลินิก เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)


นอกจากนี้ในระยะยาว ทีมวิจัยยังมีแผนเชิงกลยุทธ์ในการขยายผลนวัตกรรมนี้ไปสู่ระดับอุตสาหกรรม โดยมองหาความร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่สามารถนำออกสู่ตลาดได้จริงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสมุนไพรไทยสู่การยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพสำหรับผู้ชายที่ยังมีช่องว่างทางการตลาดอยู่มากในระดับโลก


ความสำเร็จจากสองนวัตกรรมสมุนไพรไทยของทีมนักวิจัยจุฬาฯ นี้ ไม่เพียงแต่เป็นความภาคภูมิใจของเภสัชกรไทย แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับภูมิปัญญาไทยสู่เวทีโลกอย่างแท้จริง