มหาวิทยาลัยมหิดลประกาศเดินเกม “Medical Disruption” ครั้งใหญ่ รับมือ Future Trend 2026 หลังประเมิน Pain Point สำคัญของระบบสาธารณสุขไทย ตั้งแต่ต้นทุนสุขภาพ ที่พุ่งสูง บุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ ไปจนถึงปัญหา Health Literacy ของประชาชน ทั้งนี้ ได้วางหมุดหมายระดับประเทศ ด้วยการทุ่มงบกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อเร่งเครื่อง 4 เทคโนโลยีแห่งอนาคต ได้แก่ Medical AI งานปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ โรงงานยาที่มีชีวิต และการแพทย์สมุนไพรมูลค่าสูง เพื่อปิดช่องว่างโครงสร้างสุขภาพของประเทศ พร้อมยกระดับงานวิจัยไทยสู่เวทีโลก และเสริมแกร่งเศรษฐกิจสุขภาพในยุค Wellness Economyโดยแผนนี้ไม่เพียงตอบโจทย์ระบบบริการสุขภาพที่กำลังรับแรงกดดันแต่ยังเป็นการปูรากฐานอุตสาหกรรมการแพทย์ยุคใหม่ได้อีกด้วย

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเผชิญกับ Pain Point ด้านสาธารณสุขที่สำคัญหลายด้าน ซึ่งล้วนส่งผลกระทบทั้งต่อคุณภาพชีวิต ของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ทั้งนี้ หากโฟกัสเฉพาะเฉพาะประเทศไทยจะพบว่า 3 ปัญหาหลักที่ต้องผลักดันนโยบายและแนวทางแก้ไขอย่างจริงจัง ได้แก่ 1.ต้นทุนสุขภาพแห่งชาติสูงขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจัย เชิงโครงสร้างของสังคมไทยที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุ ที่มีผลต่อจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โรคมะเร็งและโรคติดเชื้อต่างๆ เพิ่มขึ้นตามอายุขัยของประชากร อีกทั้งผู้ป่วยจำนวนมากยังมีอาการป่วยหลายโรคร่วมกัน ทำให้การรักษา มีความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูง ประกอบกับประเทศยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้ายาและเทคโนโลยีทางการแพทย์
จากต่างประเทศ ส่งผลให้ระบบหลักประกันสุขภาพและงบประมาณของรัฐต้องแบกรับภาระหนักขึ้น สวนทางกับแนวโน้มคนวัยทำงานที่จะจ่ายภาษีรองรับระบบสุขภาพลดลง ซึ่งหากไม่มีการปฏิรูปอย่างจริงจัง ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยอาจเสี่ยงต่อการล่มสลายได้ในอนาคต
ประเด็นที่ 2 บุคลากรทางการแพทย์มีไม่เพียงพอและกระจายไม่ทั่วถึง ซึ่งเป็นวิกฤตกำลังคน ด้านสาธารณสุขที่รุนแรง โดยเฉพาะแพทย์ เมื่อเทียบกับมาตรฐานองค์การอนามัยโลกที่แนะนำให้มีแพทย์ 1 คน ต่อประชากร 1,000 คน แต่ไทยกลับมีแพทย์เพียง 1 คนต่อประชากร 2,000 คน และยังเหลื่อมล้ำชัดเจนระหว่างเมือง กับชนบท เช่น กรุงเทพฯ มีแพทย์เฉลี่ย 1 คน ต่อ 462 คน แต่บางจังหวัด เช่น บึงกาฬ มีแพทย์เพียง 1 คนต่อ 5,000 คน สะท้อนปัญหาการเข้าถึงบริการสุขภาพที่ต่างกันอย่างมาก นอกจากนี้ ภาระงานที่หนักหน่วงส่งผลให้แพทย์ ทยอยลาออกเฉลี่ยกว่า 455 คนต่อปี ขณะที่ความต้องการใช้บริการทางการแพทย์กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมี การคาดการณ์ว่าในปี 2569 จะมีผู้เข้ารับบริการถึง 40.5 ล้านครั้ง หรือเฉลี่ยคนไทยต้องพบแพทย์ 3 ครั้งต่อปี ด้วยสถานการณ์นี้กำลังกดทับระบบสาธารณสุขไทยให้ต้องแบกทั้งปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น และคุณภาพบริการ ที่ถูกท้าทาย ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนก่อนระบบจะไม่สามารถรองรับได้อีกต่อไป
ประเด็นที่ 3 คนไทยขาดความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ที่เพียงพอ ซึ่งเป็นต้นตอสำคัญ ของปัญหาในระบบสุขภาพไทย ทั้งพฤติกรรมการบริโภคที่เสี่ยงต่อโรค การขาดความเข้าใจที่ถูกต้องในการป้องกันโรค การดูแลสุขภาพที่ไม่เพียงพอ ร่วมด้วยระบบสุขภาพไทยยังเน้นการรักษาที่ปลายเหตุ เช่น รอให้ป่วยก่อนแล้วจึงรักษา มากกว่าการป้องกันตั้งแต่ต้น ส่งผลให้ภาระหนักไปตกอยู่กับแพทย์และพยาบาล นำไปสู่วงจรปัญหาที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคนไข้ล้น คุณภาพบริการลด บุคลากรลาออก ไปจนถึงงบประมาณไม่เพียงพอในการรองรับผู้ป่วย ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าวเสริมว่า แม้ระบบสาธารณสุขไทยกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน แต่ด้วยศักยภาพ และความเป็นเลิศด้านการแพทย์ของไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์โดยเฉพาะ เมื่อโลกกำลังเผชิญกับกระแสความเปลี่ยนแปลงทางการแพทย์ใหญ่ๆ ใน 3 มิติ ซึ่งหากรับมือได้จะกลายเป็นโอกาสสำคัญที่จะสร้างความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยมหาวิทยาลัยได้ประเมินว่าเทรนด์และอานิสงส์ ที่ไทยสามารถจับโอกาสได้ ประกอบด้วย
- การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคการแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) อนาคตของการแพทย์ไม่ได้อยู่ที่การรักษาเมื่อป่วย แต่อยู่ที่การป้องกันก่อนเจ็บป่วยและการรักษาเฉพาะบุคคล โดยใช้ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลสุขภาพและปัจจัยแวดล้อมของแต่ละคนในการตรวจคัดกรองความเสี่ยง ทำนายแนวโน้มการเกิดโรค ตรวจวินิจฉัย วางแผนและกำหนดวิธีการรักษา เลือกใช้ยา รวมไปถึงแนะนำแนวทางป้องกันและดูแลสุขภาพที่เหมาะสม กับแต่ละบุคคล ช่วยลดการลองผิดลองถูก เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด และลดต้นทุนสุขภาพในระยะยาว โดยแนวคิดดังกล่าวกำลังกลายเป็นกระแสหลักของระบบสุขภาพทั่วโลก หลายประเทศเร่งลงทุนสร้าง “ฐานข้อมูลพันธุกรรมแห่งชาติ” เพื่อรองรับการแพทย์แม่นยำ เช่น สหราชอาณาจักรที่ดำเนินโครงการ Genomics England ใช้ข้อมูลพันธุกรรมของประชากรในการวินิจฉัยและเลือกการรักษาที่เหมาะสม หรือจีน ที่ลงทุนมหาศาลในการสร้างฐานข้อมูล DNA ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อปูทางสู่การพัฒนานวัตกรรมการแพทย์เฉพาะบุคคลในอนาคต
- การแก้ปัญหาวิกฤตขาดแคลนอวัยวะด้วย Xenotransplantation การขาดแคลนอวัยวะสำหรับ การปลูกถ่าย (Organ Shortage Crisis) นับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายทางสาธารณสุขที่รุนแรงทั้งในระดับโลก และในประเทศไทย การรอผู้บริจาคอวัยวะทั้งที่ยังมีชีวิตหรือเสียชีวิต ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการ ที่เพิ่มขึ้นตามการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและอุบัติการณ์ของโรคเรื้อรังได้ ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ต้องล้างไตกว่า 100,000 ราย และมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 16,000 ล้านบาทต่อปี และคาดการณ์ว่าจะพุ่งสูงถึง 57,000 ล้านบาท ในปี 2576 หากยังไม่มีการแก้ไข ดังนั้น การปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ (Xenotransplantation) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นำอวัยวะจากสัตว์โดยเฉพาะหมูที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมมาใช้ในการปลูกถ่ายให้กับมนุษย์ผ่านกระบวนการตัดต่อยีนเพื่อลดการปฏิเสธจากภูมิคุ้มกันของร่างกายจึงกลายเป็นทางออกสำคัญที่ช่วยลดระยะเวลาการรอคอยอวัยวะ เพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วย และลดภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยระยะยาว โดยในปี 2565 สหรัฐอเมริกาสามารถปลูกถ่ายหัวใจหมู ในมนุษย์ได้สำเร็จเป็นรายแรกของโลก แม้ผู้ป่วยจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 2 เดือน แต่ก็ได้พิสูจน์ได้ว่าเทคโนโลยีนี้สามารถทำได้จริง แต่ยังต้องศึกษาและพัฒนาต่อเพื่อก้าวข้ามความท้าทายสำคัญ คือ การต่อต้าน ของร่างกายมนุษย์ (Rejection) ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับ 1. การต่อต้านด้วยแอนติบอดี (Hyperacute Rejection) แอนติบอดีทำลายอวัยวะหมูทันที 2. การต่อต้านในระดับเซลล์ (Cellular Rejection)
เม็ดเลือดขาวเข้าทำลายอวัยวะ 3. การเกิดลิ่มเลือด (Thrombosis) เกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดเล็ก ๆ ของอวัยวะหมูทำให้อวัยวะขาดเลือดและเสียหาย การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยการตัดต่อยีน ที่แม่นยำเพื่อดัดแปลงพันธุกรรมของหมูให้เข้ากับมนุษย์มากขึ้น ลดการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และต้องใช้ยา กดภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่องหลังการปลูกถ่าย - Wellness Economy จากการรักษาโรคสู่การส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม แนวโน้มที่จะส่งผลกระทบ ในวงกว้างที่สุดในปี 2569 คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของWellness Economy จากเดิมที่เน้น “การรักษาผู้ป่วย” ไปสู่ “การสร้างเสริมสุขภาพแบบองค์รวม (Wellness & Preventive Care)” ทั้งดูแล ป้องกัน รักษา ครอบคลุมทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต และการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีแบบครบวงจร ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ใหญ่ที่กำลังกลายเป็นระบบเศรษฐกิจหลักของโลกและเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยที่ต้องเข้าไปช่วงชิงส่วนแบ่ง
“ข้อมูลจาก Global Wellness Institute (GWI) ระบุว่า ตลาด Wellness ทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 6.8 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2567 และคาดว่าจะเติบโตเป็น 9.8 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2572 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7.6% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของ GDP โลกที่คาดไว้ 4.5% และคิดเป็น 60% ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั่วโลก ขนาด 11.2 ล้านล้านดอลลาร์ สะท้อนแนวโน้มที่น่าสนใจว่า ในอนาคตความมั่งคั่งของชาติอาจไม่ได้วัดจากตัวเลข GDP เพียงอย่างเดียว แต่จะวัดกันที่สุขภาวะมวลรวมของประชากร ตามแนวคิด Health is the New Wealth ซึ่งในภูมิภาคนี้ ประเทศไทย ถือเป็นดาวรุ่งของเศรษฐกิจสุขภาพที่ทั่วโลกจับตา โดยในช่วงปี 2565-2566 ประเทศไทยเคยคว้าอันดับ 1 ของโลกในการเติบโตของตลาด Wellness ที่อัตรา 28.4% และมีมูลค่าตลาดสูงถึง 40.5 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนถึงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการก้าวสู่ผู้นำเศรษฐกิจสุขภาพในเวทีโลก
โดยทั้ง 3 เมกะเทรนด์ข้างต้น คือ โอกาสสำคัญของประเทศไทย ในการดึงเม็ดเงินจากบริการสุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เข้าสู่ประเทศมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยต่างชาติที่เข้ามารับการรักษาในไทย หรือการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตยาชีววัตถุและอุปกรณ์การแพทย์ขั้นสูงภายในประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้สอดรับกับเป้าหมายของประเทศในการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพของเอเชียในอนาคต”

ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าวตอกย้ำถึงบทบาทที่สำคัญในอนาคตว่า มหาวิทยาลัยมีความพร้อมในทุกมิติ ทั้งทีมวิจัยและแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญระดับโลก โรงพยาบาลและศูนย์วิจัยชั้นนำ ฐานข้อมูลสุขภาพที่ครอบคลุม และเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันระดับนานาชาติทั่วโลก จึงมุ่งใช้จุดแข็งเหล่านี้ขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยสู่การเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้และนวัตกรรมระดับโลก โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Science) โดยในปี 2569 มหาวิทยาลัยมหิดลได้วางเป้าหมายสำคัญที่ไม่เพียงเพื่อพลิกโฉมสาธารณสุขไทยและตอบรับ Future Trend ของโลก แต่ยังมุ่งมั่นขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน Wellness Economy และการแพทย์ระดับโลก ด้วยการลงทุนครั้งประวัติศาสตร์กว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อบ่มเพาะ 4 เทคโนโลยีแห่งอนาคตที่จะช่วยเสริมสร้าง
ขีดความสามารถ (Capability) และแก้ปัญหาสุขภาพของคนไทยอย่างยั่งยืน ได้แก่
1. พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ (Medical AI) - เร่งพัฒนา Medical AI ยกระดับการดูแลสุขภาพ แบบแม่นยำรายบุคคล โดยใช้ฐานข้อมูลทางการแพทย์ของคนไทยที่มีความหลากหลายและสมบูรณ์เป็นทุนสำคัญ โดยได้รับความร่วมมือจาก NVIDIA ผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก สนับสนุนฮาร์ดแวร์ GPU และ software สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่มูลค่าเทียบเท่า 1,000 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งสถาบันปัญญาประดิษฐ์มหิดล และพัฒนานักวิจัยระดับปริญญาเอกด้าน AI ไม่น้อยกว่า 100 คน รวมทั้งนำซอฟต์แวร์จาก NVIDIA มาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรมวิจัยยาใหม่ และประมวลผลข้อมูลสุขภาพหลายมิติของคนไทย เพื่อรองรับการพัฒนาระบบสุขภาพแม่นยำรายบุคคล (Personalized Healthcare) ที่สามารถทำนายความเสี่ยงและให้คำแนะนำการป้องกันโรคที่เหมาะสมกับแต่ละคนได้ พร้อมผลักดันงานวิจัย Medical AI ของไทยสู่ระดับสากล
2. ขับเคลื่อนการปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ (Xenotransplantation) – เดินหน้าขับเคลื่อนงานวิจัย ในระดับโลก ด้านการปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ โดยเน้นที่ “ไตหมู” เป็นลำดับแรก เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตสุขภาพ ของประเทศ โดยร่วมมือกับ บริษัท NZeno Limitedผู้นำเทคโนโลยีตัดต่อยีนหมูจากนิวซีแลนด์ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านฟาร์มปลอดเชื้อ และ บริษัท Acino International AG ผู้นำด้านเภสัชภัณฑ์ระดับโลก
เพื่อร่วมกันศึกษาวิจัย พัฒนา สร้างต้นแบบหมูตัดต่อยีนที่เหมาะสมสำหรับการปลูกถ่ายในมนุษย์ ปัจจุบันโครงการนี้ อยู่ใน Phase 0 คาดการณ์ว่าจะประสบความสำเร็จและนำมาใช้ได้จริงภายใน 5-9 ปี และตั้งเป้าให้อวัยวะที่ปลูกถ่ายสามารถใช้งานได้อย่างน้อย 2-5 ปี โดยคาดหวังว่าโครงการนี้จะสามารถช่วยผู้ป่วยไตวายเรื้อรังชาวไทยหลายแสนคน และลดภาระค่าใช้จ่ายในการล้างไต 16,000 ล้านบาทต่อปี และทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้าน Xenotransplantation ในภูมิภาค
3. พัฒนาโรงงานยาที่มีชีวิต (ATMP Manufacturing) สร้างยาใหม่จากเซลล์มนุษย์ –สร้างโรงงานยา ที่มีชีวิตเพื่อผลิตยากลุ่ม Advanced Therapy Medicinal Products (ATMP) ซึ่งเป็นยายุคใหม่ที่ใช้เซลล์มนุษย์ดัดแปลงยีนในการรักษาโรค เช่น ธาลัสซีเมีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว และพาร์กินสัน โดยตลาด ATMP ทั่วโลกมีอัตรา การเติบโตเฉลี่ยกว่า 25% ต่อปี สะท้อนความต้องการรักษาโรคที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันแม้นักวิจัยไทยจะสามารถพัฒนายาเหล่านี้ได้ในห้องปฏิบัติการ แต่ประเทศไทยยังขาดโรงงานผลิตในระดับอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยมหิดลจึงลงทุนก่อสร้างโรงงาน ATMP ขนาดกลางที่ศาลายา ด้วยงบประมาณกว่า 1,300 ล้านบาท ร่วมกับบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ โดยโรงงานแห่งนี้จะทำหน้าที่ผลิตและขยายกำลังการผลิตยา ATMP เพื่อใช้รักษาผู้ป่วยจริง ตั้งเป้าให้แล้วเสร็จภายใน 18 เดือนถึง 2 ปี ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศและลดภาระของระบบสุขภาพแล้ว ยังเป็นการวางรากฐานอุตสาหกรรมไบโอเทคมูลค่าสูง ส่งเสริมให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตเซลล์บำบัดและยีนบำบัดของภูมิภาค
4. พัฒนาการแพทย์สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมูลค่าสูง (Mushroom Bio-Extracts & Nutraceuticals) ควบคู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีการแพทย์ขั้นสูง มหาวิทยาลัยมหิดลยังตระหนักถึงคุณค่า และศักยภาพมหาศาลขององค์ความรู้และทรัพยากรชีวภาพของไทย โดยเฉพาะ "เห็ด" ซึ่งเป็นแหล่งของสารสำคัญทางชีวภาพ (Bio-active compounds) ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและสมุนไพรจากเห็ดกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดโลกแต่ผลิตภัณฑ์ของไทยยังขาดมาตรฐาน การรับรองทางวิทยาศาสตร์และการยกระดับสู่ระดับอุตสาหกรรมมูลค่าสูง มหาวิทยา ยจึงมุ่งพัฒนานวัตกรรม ตั้งแต่การสกัดสารบริสุทธิ์ (Extraction & Purification) ด้วยกระบวนการมาตรฐานสากล การศึกษาทางคลินิก (Clinical Validation) เพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัย และการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Addition) เพื่อต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เช่น ยาแผนปัจจุบันที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ (Phytopharmaceuticals) หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนวัตกรรม (Nutraceuticals) และสร้างแบรนด์ที่น่าเชื่อถือในระดับโลก ซึ่งนอกจากจะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมเห็ดและสมุนไพรไทย ยกระดับผลผลิตเกษตรกรให้มีมูลค่าเพิ่มหลายเท่าตัว ยังเป็นการมอบทางเลือกการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Healthcare) ให้กับคนไทยและชาวโลก
“อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพของไทยกำลังอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญ ทั้งเทรนด์อนาคตที่เปิดโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ และ Pain Points ที่ต้องเร่งแก้ไข การรับมือกับความท้าทายเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือ จากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐในการกำหนดนโยบายที่ทันต่อสถานการณ์และเสริมสร้างระบบบริการสุขภาพที่เข้มแข็ง ภาคเอกชนในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสุขภาพ และภาคประชาชนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดูแลสุขภาพของตนเอง ประเทศไทยก็จะมีโอกาสสูงที่จะพลิกโฉมระบบสาธารณสุข พร้อมๆ กับสร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน” ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าวปิดท้าย
