ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผอ.บริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวถึงความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ChulaCov19 ซึ่งเป็นวัคซีนสัญชาติไทย ชนิด m-RNA ว่า ในภาพรวมถือว่าเป็นข่าวดี โดยแบ่งการพัฒนาเป็น 2 ระยะ ระยะแรก เป็นการออกแบบวัคซีนและให้โรงงานในสหรัฐอเมริกาผลิต ลอตแรก ก็มีข่าวดีว่า ผ่านการพิสูจน์ในอาสาสมัครระยะที่ 1 และ 2 เรียบร้อยแล้ว พบว่า ปลอดภัย กระตุ้นภูมิได้สูงเป็นที่น่าพอใจ และขนาดที่เราเลือกเมื่อเทียบกับวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในประเทศไทย ได้แก่ ไฟเซอร์ เราก็ได้ภูมิที่สูงกว่าชัดเจน ส่วนระยะที่ 2 คือ การผลิตวัคซีนในประเทศ โดยบริษัท ไบโอเน็ตเอเชีย จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานในไทย สามารถผลิตวัคซีนลอตแรกเรียบร้อยแล้ว ผ่านการประกันคุณภาพแล้ว ทีมวิจัยได้ส่งเอกสาร ข้อมูลต่าง ๆ เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อขอทดสอบในอาสาสมัครระยะที่ 1 และ 2 อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจาก อย. คาดว่าจะได้รับคำตอบเร็ว ๆ นี้ หากทดสอบได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ น่าจะขอขึ้นทะเบียนวัคซีนได้ภายในปลายปี 2565
“ขณะนี้สถานการณ์แพร่ระบาดในประเทศเริ่มดีขึ้น แต่การพัฒนาวัคซีนไม่ได้หยุด เราอยากเห็นวัคซีนรุ่นที่ 1 ที่ผลิตโดยคนไทยที่ตอนนี้พัฒนากันอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ วัคซีน mRNA ของจุฬาฯ วัคซีนใบยา และวัคซีนขององค์การเภสัชกรรม หากขึ้นทะเบียนได้ก่อน 1 ชนิด หรือทั้งหมดจะยิ่งดี โดยวัคซีนรุ่นที่ 1 ตามขั้นตอนควรได้รับการขึ้นทะเบียนก่อน ผ่านการพิสูจน์ว่าปลอดภัย ระหว่างขอขึ้นทะเบียนก็มีการพัฒนารุ่นที่ 2 เพื่อป้องกันเชื้อโอมิครอนไปพร้อมกัน เพื่อรอขึ้นทะเบียนลำดับต่อไป ” ศ.นพ.เกียรติกล่าว
ศ.นพ.เกียรติ กล่าวว่า ถ้าวัคซีนไทยสามารถขึ้นทะเบียนได้ภายในปีนี้ ก็ต้องอาศัยทุกภาคส่วนช่วยกันสนับสนุน แต่การผลิตวัคซีนก็ต้องทำอย่างเป็นขั้นตอน ทั้งต้องพิสูจน์จนให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย ซึ่งจุดประสงค์หลักของการพัฒนาวัคซีนของไทย ก็เพื่อที่เราจะได้พึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งช่วยกระจายวัคซีนให้กับประเทศเพื่อนบ้านได้เร็วขึ้น หากเกิดโรคระบาดขึ้น และการที่เรามีเทคโนโลยีตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ถึงปลายน้ำ เมื่อเกิดโรคระบาดขึ้น เราจะทำได้เร็วขึ้น เพราะเราพัฒนาได้ครบห่วงโซ่ด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่ใช้เวลานานปีกว่า เหมือนขณะนี้