ก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 กระแสการดูแลสุขภาพเริ่มเป็นที่สนใจของผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และการระบาดของเชื้อไวรัส ยิ่งกลายเป็นตัวกระตุ้นกระแสรักสุขภาพมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณไปทั่วโลก เพราะมนุษย์เริ่มตระหนักว่า หนึ่งในวิธีสำคัญที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคผู้รุกราน นั่นก็คือ การทำให้ตัวเราแข็งแรงมีเกราะป้องกันที่มีคุณภาพที่สุดมีภูมิต้านทานสูงขึ้น ซึ่งการจะได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ ต้องอาศัยความมีวินัย ความรู้ ในการหมั่นบำรุงดูแลร่างกายของเราอยู่เสมอเพราะกว่าจะได้รับสุขภาพดี ต้องใช้เวลา
ปัจจัยอีกข้อหนึ่งที่ทำให้การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็คือ หลายประเทศทั่วโลกกำลังทยอยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ หรือ UNในปี ค.ศ. 2020 ทั่วโลกมีประชากรผู้สูงอายุเกิน 60 ปี เฉลี่ยประมาณ 13.5% หรือเป็นจำนวนประมาณ 1,049 ล้านคนทั่วโลก และจะเพิ่มเป็น 21%หรือ 2,100ล้านคนในปี ค.ศ. 2050 สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในปีพ.ศ. 2564 เรามีผู้สูงอายุที่อายุเกิน60 ปี ราวๆ13 ล้านคนหรือประมาณ 20% ถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก และมีการประเมินว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ปี พ.ศ. 2575ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสูงสุดคือ มีคนอายุเกิน 60 ปี สูงถึง 28% ซึ่งแน่นอนย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศไปในวงกว้าง ทั้งภาคเศรษฐกิจ ภาคสังคมและระดับครอบครัว
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่” หมอแอมป์ - นพ.ตนุพลวิรุฬหการุญนายกสมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วนกรุงเทพ (BARSO) และประธานคณะผู้บริหารบีดีเอ็มเอสเวลเนสคลินิก (BDMS Wellness Clinic) กล่าวแสดงความกังวล “เพราะเมื่อผู้สูงอายุมากขึ้น แต่คนเกิดน้อยลง คนวัยทำงานจึงลดจำนวนลงด้วย ทำให้ต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อมาเลี้ยงดูทั้งครอบครัว ไม่ใช่แค่ ภรรยา สามีและลูก แต่รวมถึงคุณพ่อคุณแม่ ไปจนถึงรุ่นปู่ย่าตายาย”
ในปี พ.ศ. 2564 ประเทศไทยมีอัตราการเกิดน้อยกว่าอัตราการเสียชีวิต สิ่งนี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง ตั้งแต่ระดับเล็กจนไปถึงระดับใหญ่ เมื่อประเทศมีคนทำงานน้อยลง ศักยภาพในการเดินหน้าผลักดันประเทศก็จะน้อยลงตามไปด้วย การจัดเก็บภาษีการจัดเก็บรายได้ก็จะน้อยลง ต้องพึ่งพาการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศมากขึ้นดังนั้นย่อมดีกว่าหากมีการวางแผนดูแลสุขภาพตัวเราและผู้ใหญ่ในบ้านให้อายุมากขึ้นแบบมีคุณภาพ ร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรครุมเร้า และช่วยเหลือตัวเองได้
ปัจจัยอีกข้อหนึ่งที่ผลักดันให้มนุษย์หลายคนหันกลับมาวางแผนดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย ก็คือโรคที่เกิดจากน้ำมือตัวเราหรือที่รู้จักกันในชื่อ‘กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ Non-communicable diseases (NCDs)’ กลุ่มโรคนี้เป็นปัจจัยกระตุ้นให้คนทั้งโลกเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพ
คุณหมอแอมป์อธิบายว่า “เพราะกลุ่มโรค NCDs เปรียบเสมือน เพชฌฆาตเงียบ ที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามา แอบซ่อนเข้ามาในรูปแบบต่างๆ เช่น การนอนน้อย ความเครียดสะสมการรับประทานอาหารไม่ดี ไม่มีประโยชน์ เช่น อาหารหวานจัด มันจัด เค็มจัด เนื้อสัตว์แปรรูป น้ำตาล High Fructose Corn Syrup (HFCS)ไขมันทรานส์ไขมันอิ่มตัวการไม่ออกกำลังกาย การขยับตัวน้อยๆ ไปจนถึงสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษต่างๆ สุรา บุหรี่และฝุ่นละออง PM 2.5 เป็นต้น”
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกหรือ WHOรายงานว่า ในปี พ.ศ. 2563 ผู้เสียชีวิตทั่วโลกจากกลุ่มโรคNCDs สูงถึง 71%หรือเป็นจำนวน 41 ล้านคนทั่วโลก และWHO ยังรายงานอีกว่า ในปี พ.ศ. 2562 คนไทยเสียชีวิตด้วยกลุ่มโรค NCDs สูงถึง 76.58%มากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก หรือนับเป็นจำนวนเท่ากับ 351,880คน “หากคำนวณง่ายๆทุกๆ1 ชั่วโมง จะมีผู้เสียชีวิตจากโรค NCDsสูงถึง 44 คน” คุณหมอแอมป์แสดงความกังวล
กลุ่มโรค NCDs หรือ กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังประกอบไปด้วยโรคต่างๆ ที่ส่วนใหญ่ เกิดมาจากหลายปัจจัยทั้งพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิต แต่สิ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง ตั้งแต่วันนี้คือ ‘วิถีชีวิต’ ขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติตัวของเรา กลุ่มโรค NCDs ประกอบไปด้วย
1. โรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก หรือ Stroke โรคนี้คร่าชีวิตประชากรไทยเป็นอันดับหนึ่งในตระกูลโรค NCDs2.โรคเบาหวาน 3. โรคความดันโลหิตสูง 4. โรคหลอดเลือดหัวใจ 5. โรคมะเร็งหลายชนิด 6. โรคทางเดินหายใจและปอด และ 7. โรคสุดท้าย คือ โรคอ้วน
จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ “กระแสการดูแลสุขภาพ” เติบโตไปทั่วโลก สถาบันโกลบอลเวลเนส (Global WellnessInstitute; GWI) ประเมินมูลค่าเศรษฐกิจสุขภาพทั่วโลก (Global Wellness Economy) พบว่ามีการเติบโตขึ้นอย่างมากตลอดหลายปีที่ผ่านมามูลค่าการตลาดทางด้านสุขภาพทั่วโลก ในปี พ.ศ. 2560 อยู่ที่ 4.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ในปี พ.ศ. 2562 ขยับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 4.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เฉลี่ยเติบโตประมาณ6-7 %ทุกปีติดต่อกันมาตลอดหลายปีจนมาถึงช่วงโควิดระบาด ส่งผลกระทบให้การเดินทางยากขึ้นหลายประเทศมีการปิดเส้นทางการเดินทาง ต้องอยู่แต่ในประเทศตัวเอง เพื่อการควบคุมโรค ทำให้มูลค่ารวมของกระแสธุรกิจทางด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นมาตลอด 10 ปี ร่วงลงไป ในปี พ.ศ. 2563ร่วงลงมาอยู่ที่ 4.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
แม้ว่าภาพรวมมูลค่าเศรษฐกิจจะตกลง แต่ยังมีอยู่ 4 สาขาที่ยังคงเติบโตสวนกระแส แม้กระทั่งช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด19 นั่นคือ
1. Wellness Real Estateหรือ อสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพเติบโตขึ้นมาในปี พ.ศ. 2563 มูลค่าสูงถึง 275,100ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เติบโตกว่าปีก่อนหน้าถึง 22.1%ถึงแม้ว่าช่วงที่โควิดระบาดนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางไม่ได้ ธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบสูงมาก แต่อสังหาริมทรัพย์หลายที่ทั้งในกลุ่มโรงแรมและที่อยู่อาศัย ได้ปรับตัวเอง ให้เอื้อไปทางด้านสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งเครื่องกรองอากาศ การฆ่าเชื้อ หรือปรับสถานที่ให้เอื้อกับผู้สูงอายุ นั่นคือหลักการที่ทำให้สาขานี้ เติบโตทั่วโลกสูงเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มการดูแลสุขภาพมากถึง22.1% ในปีที่ผ่านมา
2. Mental Wellnessเป็นสาขาที่เกี่ยวกับสุขภาพจิต การลดความเครียด การนอนที่มีคุณภาพ ไปจนถึง การนั่งสมาธิหรืออื่นๆ ที่ช่วยในการดูแลจิตใจ เป็นสาขาที่เกิดมาใหม่ แต่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว มูลค่าในปี พ.ศ. 2563ที่ผ่านมาสูงถึง 131,200ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตมากถึง 7.2%เป็นอีกสาขาที่เติบโตสวนกระแสโควิด เพราะเมื่อมีโรคระบาด ผู้คนย่อมมีความเครียด ต้องหาวิธีในการจัดการ ควบคุมหรือระบายความเครียดออกไป ยิ่งดูแลสุขภาพจิตได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี
3. Public Health,Preventive and Precision Medicine หรือภาคสาธารณสุขเวชศาสตร์ป้องกันและการแพทย์เฉพาะบุคคลเน้นการตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน ดูแลร่างกายก่อนการเจ็บป่วย เพื่อที่จะทราบความเสี่ยงของโรค และวางแผนการดูแลตัวเองอย่างดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้สาขาดังกล่าวเติบโตทั่วโลก สูงถึง 4.5%มูลค่าในปีพ.ศ. 2563 อยู่ที่ 375,400ล้านเหรียญสหรัฐ
4. Healthyeating, NutritionandWeightlossเกี่ยวข้องกับอาหารสุขภาพ อาหารที่รับประทานแล้วดีกับร่างกายอาหารไขมันต่ำอาหารน้ำตาลต่ำ อาหารโซเดียมต่ำอาหารลดน้ำหนัก อาหารออร์แกนิคในปีพ.ศ. 2563 สาขานี้มูลค่าสูงถึง 945,500ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตสูงขึ้น 3.6%
ทั้งหมดนี้คือ 4 สาขาที่เติบโตขึ้น แม้ว่า จะอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ส่วนสาขาที่มูลค่าลดลงมากที่สุดคือ Wellness Tourismเพราะข้อจำกัดทางด้านการเดินทางและการควบคุมโรคระบาด
การท่องเที่ยงเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism)
ต่อไปคุณหมอแอมป์จะมาเจาะลึก Wellness Tourismหรือ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อสร้างความเข้าใจในรายละเอียดว่าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพคืออะไร
มูลค่าของ Wellness Tourism ในปี พ.ศ. 2561 มีมูลค่าสูงถึง 617,000ล้านเหรียญสหรัฐ ในปีต่อมาพ.ศ. 2562 เติบโตขึ้นถึง720,400ล้านเหรียญสหรัฐคิดเป็น 8.1% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยมูลค่าโดยรวมของสาขาธุรกิจเวลเนสทั้งหมดที่เติบโตปีละ 6.4%อย่างไรก็ตามปี พ.ศ. 2563 มาตรการควบคุมโรคโควิด 19 ทำให้มูลค่าตลาดเล็กลง เหลือเพียง 435,000ล้านเหรียญสหรัฐตกลงมาถึง 39.5% และมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา มูลค่าได้กลับมาเท่ากับ 652,000ล้านเหรียญสหรัฐหรือกลับมาเติบโต 20.9 %
คุณหมอแอมป์แสดงความคิดเห็นว่า “ถ้ากลับมาเปิดประเทศ หรือโรคระบาดสามารถควบคุมได้ ความอันตรายลดลง การเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว จะช่วยให้กระแสการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพกลับมาแน่นอน”
จากการประเมินของ Global Wellness Institute การท่องเที่ยงเชิงสุขภาพ จะกลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดด จากปีนี้ไปอีกหลายปีโดยเติบโตเฉลี่ยสูงถึงปีละ 20.9%และมูลค่าสาขานี้จะทะลุ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี พ.ศ. 2567 พอรู้อย่างนี้แล้ว ผู้ประกอบการสามารถเตรียมตัวให้พร้อมไว้ได้เลย
จากรายงานของGlobal Wellness Instituteในปี พ.ศ. 2561 อัตราการเติบโตของ WellnessTourism ในทวีปเอเชียสูงเป็นอันดับ 1 ของโลกเติบโตขึ้น33% จาก 194 ล้านทริป เป็น 258 ล้านทริปภายในช่วงเวลาสองปี เช่นเดียวกับประเทศไทยซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของนักท่องเที่ยวหลากหลายกลุ่มมาอย่างยาวนานการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะเป็นอีกหนึ่งอาวุธสำคัญที่เข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพของอุตสากรรมการท่องเที่ยวให้กับประเทศ เพราะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง มีจำนวนวันพักที่ยาวนาน และมีการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อการท่องเที่ยวแต่ละครั้งสูงกว่านักท่องเที่ยวแบบปกติ โดยข้อมูลจากGlobal Wellness Institute รายงานว่านักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมีค่าใช้จ่ายต่อหัวประมาณ 50,000 กว่าบาทต่อการเที่ยวหนึ่งครั้งซึ่งสูงกว่านักท่องเที่ยวแบบปกติถึง 53% และแน่นอนว่า เมื่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 จบลง หลายประเทศจะหันมาผลักดันตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพกันมากขึ้น
“คิดภาพตามนะครับ ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบในหลายๆ ด้านหากเราสามารถขยายฐานตลาดการท่องเที่ยวเพิ่มได้ สร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวพักผ่อนใช้จ่ายในประเทศเรามากขึ้น เม็ดเงินก็จะไหลเวียนเข้าสู่เศรษฐกิจมากขึ้นด้วย เกิดประโยชน์ให้ประเทศได้ในหลายภาคส่วน” คุณหมอแอมป์กล่าว
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยปีพ.ศ. 2560 ประเทศไทยเรามีนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสูงถึง 12.5 ล้านคนต่อปีสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวได้สูงถึง 409,000 ล้านบาทการจ้างงานสูงถึง 530,000 คนประเทศเราติดอันดับ 4 ของเอเชียในด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรองจากจีนญี่ปุ่นและอินเดียเติบโตเป็นอันดับ 10 ของโลกและมีโอกาสไต่อันดับขึ้นมาได้อีกหากวางแผนรองรับนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากทั่วโลกอย่างเหมาะสมประเทศไทยยังมีปัจจัยอื่นๆที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว
1. การวิจัยจากมหาวิทยาลัยJohnHopkinsให้ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 6 ของโลกหรือที่ 1 ของเอเชียจาก 195 ประเทศทั่วโลกในเรื่องดัชนีความมั่นคงทางด้านสุขภาพ
2. ประเทศไทยเป็น Medical Hubในการให้บริการทางการแพทย์ระดับโลกและมีโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรอง JCI สูงติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คุณภาพของการรักษาพยาบาลประเทศในประเทศไทยสามารถดูแลรักษาตัวเขาหรือครอบครัวของเขาได้
3. ติดอันดับที่ 2 ของโลกจากการโหวตให้เป็นประเทศเป้าหมายที่อยากคนอยากมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรองจากออสเตรเลียจากการจัดอันดับของWellnessTourismInitiative 2020
4. กรุงเทพฯได้รับการจัดเป็นอันดับที่ 1 ของโลกสำหรับสถานที่เหมาะสำหรับทำงานไปด้วยท่องเที่ยวไปด้วยหรือที่เรียกว่าWorkationจากHoliduMagazine UK ตามมาด้วยเชียงใหม่ภูเก็ตได้อันดับ 10 ของโลก
5. ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่อันดับ 5 ของโลกจาก Money UK เป็นสถานที่ที่คนเกษียณอายุอยากไปอยู่ที่สุด
6. กรุงเทพมหานครได้อันดับ 1 ของ Best Cities จากการสำรวจ Readers’ ChoiceAwards 2022 ของนิตยสาร DestinAsian
ประเทศไทยถือว่ามีจุดแข็งในเรื่องของเอกลักษณ์วัฒนธรรม ประเพณี อาหารไทย อย่างแกงมัสมั่น ต้มยำกุ้ง และส้มตำ (ถูกจัดอันดับ 50 อาหารที่ดีที่สุดในโลกโดยCNN) ภูมิปัญญาท้องถิ่น เกษตรอินทรีย์ นวดแผนโบราณ ซึ่งจัดเป็น อำนาจอ่อน (Soft Power) ที่สามารถนำมาใช้ส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดให้คนเดินทางเข้าสู่ประเทศ ซึ่งประเทศไทยถูกจัดให้อยู่อันดับที่ 35 จาก Global Soft Power Index 2022จัดทำโดย Brand Finance
แม้ว่าความหมายของนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะแตกต่างกันในรายละเอียดของแต่ละประเทศแต่จะมีส่วนหลักๆ ที่คล้ายกัน คือ ‘คนที่มาเที่ยวไม่ได้ป่วย’แต่เน้นการเที่ยวแบบดูแลสุขภาพไปด้วย “อาจมีการพบแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพ ตรวจระดับไขมัน ระดับน้ำตาลในเลือด ไขมันพอกตับ การแพ้อาหาร หรือเจาะรหัสพันธุกรรม เพื่อดูความเสี่ยงของโรคต่างๆในอนาคต ก่อนกลับประเทศก็มาฟังผลตรวจสุขภาพ ปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการดูแลสุขภาพ”คุณหมอแอมป์อธิบายให้เราเห็นภาพมากยิ่งขึ้น
นักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพบางกลุ่มต้องการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ อาหารเกษตรอินทรีย์ อาหารท้องถิ่นที่มีเรื่องราว ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มมูลค่าของอาหารได้จากตรงนี้ เมื่ออาหารมีเรื่องราว จะมีความน่าสนใจ น่ารับประทานมากขึ้น อาหารจะต้องไม่หวานจัด เค็มจัด มันจัด หรือเป็นอาหารแปรรูปต่างๆ ควรเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
ส่วนบางกลุ่มต้องการมาดูแล ลดความเครียดผ่อนคลายสุขภาพจิตประเทศไทยมีทางเลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคอร์สนั่งสมาธิ การปฏิบัติธรรมการเดินจงกรม การเล่นโยคะ การเล่นไทเก๊ก ไปจนถึงการนวดไทย แพทย์แผนไทยลูกประคบ สิ่งต่างๆเหล่านี้ สามารถดูแลสุขภาพจิตและสุขภาพกายของนักท่องเที่ยวได้
นักท่องเที่ยวบางกลุ่มต้องการเสพงานศิลปะ เรียนรู้ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมวัดวาอารามลงรายละเอียดของแต่ละสถานที่แทนการไปเที่ยวหลายๆที่ในวันเดียวต้องการผู้รู้หรือคนท้องถิ่น มาเล่าให้ฟัง แบบนั้นก็เรียกว่า การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเช่นกันเพราะเป็นการท่องเที่ยวแบบได้ผ่อนคลาย ไม่เร่งรีบจนเกินไป
นักท่องเที่ยวบางกลุ่มต้องการมาเที่ยวและหากิจกรรมออกกำลังกายต่างๆเช่น เดินป่า ปีนเขาเที่ยวชมธรรมชาติ ดำน้ำพายเรือ หรือผจญภัยที่ต่างๆ บางกลุ่มอาจต้องการสัมผัสวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นมาพักโฮมสเตย์ (Home stay) เรียนรู้วัฒนธรรมประเพณี การใช้ชีวิตของชาวบ้านอย่างใกล้ชิดได้ผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบ หลีกหนีจากชีวิตสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ รวมถึงการดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น การใช้สมุนไพร แช่น้ำพุร้อนเพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
นอกเหนือจากกิจกรรมต่างๆแล้วนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ต้องการที่พักที่ปลอดภัยเช่น ที่พักที่มีราวจับและแผ่นกันลื่นในห้องน้ำ หรือตอนกลางคืนมีไฟส่องสว่างแบบอัตโนมัติเวลาขยับตัว ไฟจะติดได้เอง ลดโอกาสการสะดุดหกล้ม เวลาเดินไปห้องน้ำ ที่พักต้องมีเครื่องกระตุกหัวใจ (AED)ติดไว้ตามจุดต่างๆ ในยามเกิดเหตุฉุกเฉินก็สามารถช่วยชีวิตได้
สุดท้ายคุณหมอแอมป์ได้ฝากข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการหรือผู้สนใจอยากวางแผนดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพให้ได้ลองไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจของตนเอง
1. ภาคโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ เกสต์เฮาส์ ที่พักต่างๆ
- ร่วมมือกับสถานพยาบาล คลินิค โรงพยาบาล ออกแบบบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถมาพักผ่อน ร่วมกับการตรวจร่างกายประจำปี การดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและทีมงานมืออาชีพ
- ปรับสถานที่ให้เอื้อกับนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ให้มีที่จับ ราวจับ ตามที่ต่างๆ เพื่อป้องกันการหกล้ม เช่น ในห้องน้ำ ในห้องอาบน้ำ ทางขึ้นลงบันได และมีการติดสติ๊กเกอร์สะท้อนแสง ในบริเวณที่ต่างระดับ
- ไฟส่องสว่างยามค่ำคืน แบบเซนเซอร์ ป้องกันการสะดุด เตะโต๊ะหรือเตียง
- ปรับพื้นที่ป้องกันการลื่นหกล้ม เช่น พื้นห้องน้ำไม่ให้ลื่นจนเกินไป ลดพื้นที่ต่างระดับทั้งภายในและภายนอกที่พักอาศัย เพิ่มทางลาดเอียงสำหรับรถเข็นและให้สะดวกสำหรับผู้สูงอายุ
- เตียง ฟูก หมอน มีหลายระดับ ความแข็งความนุ่มตามความต้องการของแขกผู้มาพัก เพราะบางคนมีข้อจำกัดทางสุขภาพ เช่น ปวดหลัง ปวดคอ หรือความชอบที่ต่างกัน มีการแจกที่อุดหู ป้องกันเสียงรบกวน ผ้าม่านกันแสงแดดป้องกันแสงไม่ให้เล็ดลอดเข้ามาภายในห้อง ทำให้การนอนหลับมีคุณภาพสุขภาพแข็งแรง
- ในกรณีมีที่พักหลายชั้น มีติดตั้งลิฟท์ ให้ผู้สูงอายุเข้าถึงง่ายขึ้น
- อาจเพิ่มเติมอุปกรณ์ ออกกำลังกายภายในห้องพัก เช่น ที่ยกน้ำหนักลูกตุ้ม จักรยาน ลู่วิ่งอยู่กับที่ เสื่อโยคะ แม้ว่าการออกกำลังกายกลางแจ้งหรือภายในห้องออกกำลังจะดีกว่า แต่บางครั้งผู้เข้าพักอาจไม่สะดวก การเพิ่มทางเลือกให้ออกกำลังกายภายในห้องพักได้ จะเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น
- มีการฝึกพนักงานในการช่วยชีวิต ปั๊มหัวใจกรณีฉุกเฉิน ติดตั้งเครื่องกระตุ้นหัวใจ AEDเพื่อเพิ่มความปลอดภัย และรักษาชีวิตได้
- มีรถเข็นไว้คอยบริการผู้สูงอายุ
- ใช้ผลิตภัณฑ์จำพวก สบู่ แชมพูสระผม ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี
- ลดการใช้พลาสติก เพื่อสุขภาพของโลก หันมาใช้หลอดกระดาษ น้ำขวดแก้ว เป็นต้น
2. ร้านอาหารต่างๆ
- เลือกใช้วัตถุดิบที่มาจากท้องถิ่น เป็นของดีมีคุณภาพ ดีต่อสุขภาพ จำพวกพืชผักสวนครัว ธัญพืช ผลไม้ เกษตรอินทรีย์ ที่มาจากภูมิปัญญาชาวบ้าน
- อาหารกลุ่มเกษตรอินทรีย์ ปราศจากยาฆ่าแมลงและสารเคมี สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้มาก
- ทำอาหารที่ดีต่อสุขภาพลดการใช้น้ำตาล หรือ เกลือที่มากเกินไปเน้นธัญพืช ผัก ผลไม้ บำรุงสุขภาพแทน ของทอด ของมัน อาหารแปรรูป เนื้อสัตว์แปรรูป น้ำตาล HighFructoseCornSyrup(HFCS)ซึ่งเป็นของอันตรายสำหรับผู้ที่รักษาสุขภาพ
- เนื่องจากนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ มักเป็นกลุ่มคนที่มีอายุเฉลี่ย 50 ปีขึ้นไป หรือที่เรียกกว่ากลุ่ม Silver age มีที่มาจากเส้นผมที่เริ่มเป็นสีเงิน ซึ่งจัดเป็นวัยที่มีอิสระ มีเงิน มีเวลา ร้านอาหารสามารถปรับเมนูเป็นตัวหนังสือใหญ่ขึ้น รูปภาพมากขึ้น ทำให้สะดวกในการอ่านมีข้อมูลโภชนาการ เช่นปริมาณพลังงาน ไขมัน น้ำตาล และเกลือ แสดงให้เห็นว่าเป็นร้านอาหารที่สนับสนุนเรื่องสุขภาพ
3. การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สามารถเพิ่มเติมบริการทางสุขภาพทั้งทางกาย และจิตใจ
- การท่องเที่ยวเชิงออกกำลังกายต่างๆ เช่น เดินป่า ปีนเขา ดำน้ำ ไทเก๊ก พายเรือ หรือผจญภัยที่ต่างๆ โดยอาจเสริมการพบแพทย์เพื่อเจาะเลือดในวันแรกของการมาเที่ยว แล้วต่อด้วยการทำกิจกรรมการออกกำลังกายในวันถัดไปของการเข้าพัก
- การให้บริการการดูแลสุขภาพจิต เช่น นั่งสมาธิ เดินจงกรม โยคะ ไทเก๊ก โดยผู้ประกอบการสามารถเพิ่มมูลค่าได้ทั้งหมดเมื่อเอาเรื่องสุขภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง
- บริการสปาเพื่อสุขภาพ เพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มบริการการนวดเพื่อสุขภาพ เช่นการนวดไทย การนวดสากล การแช่ตัวด้วยน้ำพุร้อน อ่างน้ำวน การอบสมุนไพร หรือการดูแลผิวพรรณต่างๆ
4. การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ สร้างงานให้ชุมชนท้องถิ่น พาชมพร้อมเรียนรู้ ศิลปะวัฒนธรรมของประเทศ จัดเป็นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพราะดีต่อสุขภาพจิตเช่นกัน
5. การท่องเที่ยวเชิงวิถีชุมชนเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวบ้าน นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์จากวัฒนธรรมท้องถิ่น นักท่องเที่ยวได้ผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบ หลีกหนีจากชีวิตสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ
- การท่องเที่ยวเชิงเกษตร เรียนรู้วิถีเกษตรกรรมของชุมชน สัมผัสประสบการณ์จริงของการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และเก็บเกี่ยวผลผลิต เช่น ทดลองดำนา ไถนา เก็บไข่ไก่จากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความเข้าใจว่า พืชเติบโตมาด้วยวิธีการใด ดูแลรักษาอย่างไร รวมถึง พบเห็นสิ่งแปลกใหม่ เช่น พืชผักเฉพาะถิ่น สินค้าทางการเกษตรเฉพาะถิ่น
- โฮมสเตย์ (Home stay)ในแง่ของการท่องเที่ยวสัมผัสวิถีชีวิตชุมชน นักท่องเที่ยวจะอาศัยร่วมกับเจ้าของบ้านสัมผัสวัฒนธรรมประเพณี การใช้ชีวิตของชาวบ้านอย่างใกล้ชิดเจ้าของบ้านจะต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยความเป็นมิตร ท่ามกลางบรรยากาศแบบชนบทที่เงียบสงบ จัดเตรียมอาหารเฉพาะถิ่นที่มีความแปลกใหม่ เป็นประสบการณ์พิเศษจากการท่องเที่ยว
6. แพทย์แผนไทย และสมุนไพรไทย ช่วยยกระดับให้การท่องเที่ยวมีคุณภาพและเข้าถึงกลิ่นอายของประเทศไทยได้มากขึ้น เช่น การนวดไทย ลูกประคบ สมุนไพรไทย บำรุงสุขภาพ เช่น กระชาย ขมิ้นชัน มะขามป้อม มะกรูด กะเพรา และพืชอีกหลายชนิด ซึ่งล้วนดีต่อสุขภาพทั้งสิ้น หรือการแช่น้ำพุร้อนเพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิต การพอกโคลนที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุเพื่อดูแลสุขภาพผิว เป็นต้น
สุดท้ายนี้คุณหมอแอมป์เน้นย้ำว่า การจะทำทุกอย่างที่กล่าวมาให้ประสบความสำเร็จ และทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ใครคนใดคนหนึ่ง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ไม่สามารถทำเพียงลำพังได้ ต้องอาศัยความร่วมมือกันของทุกคนทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ นักวิชาการ ประชาชน เจ้าของพื้นที่ หรือคนในท้องถิ่นนั้นๆ จนกระทั่งภาครัฐบาล รวมไปถึงนโยบายต่างๆต่างต้องร่วมกันคนละไม้คนละมือผลักดันให้ประเทศชาติเรา เป็นที่น่าดึงดูด ให้คนทั้งโลกมาเที่ยวและได้รับสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจกลับไป
ติดตามรับฟังไปกับคุณหมอแอมป์ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=S3YyBQENEok