โรคพาร์กินสัน อาการสั่นที่มาจากสมอง วิธีการป้องกัน

โรคพาร์กินสัน เป็นหนึ่งในโรคทางระบบประสาทที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน จุดเด่นของโรคนี้คืออาการสั่นที่มาจากสมอง ซึ่งหลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงอาการชราตามวัย แต่ความจริงแล้ว โรคพาร์กินสันมีความซับซ้อนมากกว่านั้น ทั้งสาเหตุ อาการ และการดำเนินโรคที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล สำหรับผู้ป่วยและคนรอบข้าง โรคนี้อาจเป็นเรื่องท้าทาย เพราะนอกจากอาการสั่นแล้ว ยังมีปัญหาการเคลื่อนไหวอื่น ๆ ที่ตามมาอีกมากมาย การเข้าใจโรคพาร์กินสันอย่างถูกต้องจะช่วยให้เราสามารถป้องกัน ดูแล และให้กำลังใจผู้ป่วยได้ดีขึ้น ในบทความนี้จะพาไปรู้จักโรคพาร์กินสันในทุกแง่มุม ตั้งแต่สาเหตุ อาการ ไปจนถึงวิธีป้องกัน เพื่อให้คุณและคนที่คุณรักมีสุขภาพที่ดีและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


โรคพาร์กินสัน คืออะไร
โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) คือโรคทางระบบประสาทที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์สมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะบริเวณที่เรียกว่า “basal ganglia” ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญในการสั่งงานกล้ามเนื้อ เมื่อเซลล์สมองที่ผลิตสารโดปามีน (dopamine) เสื่อมหรือเสียหาย สมองจะไม่สามารถส่งสัญญาณไปยังกล้ามเนื้อได้อย่างราบรื่น ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการสั่น เคลื่อนไหวช้า กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง และทรงตัวลำบาก โรคนี้มักเกิดในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ก็สามารถพบได้ในวัยกลางคน โดยในช่วงเริ่มต้นอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปอาการจะรุนแรงมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน


สาเหตุของโรคพาร์กินสัน
แม้ปัจจุบันจะยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของโรคพาร์กินสันได้ แต่จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่ามีหลายปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคนี้ โดยสาเหตุหลักคือการเสื่อมสภาพของเซลล์สมองส่วนที่ผลิตสารโดปามีน (dopamine) ซึ่งเป็นสารเคมีสำคัญที่ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อเซลล์สมองเหล่านี้เสื่อมลงหรือเสียหาย สมองจึงส่งสัญญาณไปยังกล้ามเนื้อได้ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เกิดอาการสั่นและการเคลื่อนไหวผิดปกติ
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคพาร์กินสัน ได้แก่
- อายุ โรคนี้พบมากในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ก็สามารถเกิดในวัยกลางคนได้เช่นกัน
- พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเคยเป็นโรคพาร์กินสันมาก่อน โอกาสเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น แม้จะพบได้น้อยในกรณีที่เกิดจากพันธุกรรมโดยตรง
- ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม การสัมผัสสารพิษบางชนิด เช่น สารกำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือโลหะหนัก เป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
- ประวัติการบาดเจ็บที่ศีรษะ การได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะอย่างรุนแรงหรือบ่อยครั้ง อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรค


อาการของโรคพาร์กินสัน เป็นอย่างไร
อาการของโรคพาร์กินสันจะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นและรุนแรงขึ้นตามระยะเวลาที่โรคดำเนินไป โดยอาการที่พบได้บ่อยที่สุดคือ “อาการสั่น” โดยเฉพาะขณะที่ร่างกายอยู่นิ่ง ๆ เช่น มือสั่นขณะพัก แต่เมื่อขยับหรือใช้มืออาการจะดีขึ้น อย่างไรก็ตาม โรคพาร์กินสันไม่ได้มีเพียงอาการสั่นเท่านั้น ยังมีอาการอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ดังนี้
- อาการสั่น เริ่มต้นมักพบที่มือหรือแขนข้างใดข้างหนึ่งก่อน แล้วจึงค่อย ๆ ลุกลามไปอีกข้าง สั่นมักเกิดขณะอยู่นิ่ง ไม่ได้ใช้งาน
- การเคลื่อนไหวช้าลง ผู้ป่วยจะเคลื่อนไหวช้ากว่าปกติ อาจรู้สึกเหมือนร่างกายแข็ง ๆ ขยับได้ไม่คล่องแคล่ว การลุกขึ้น เดิน หรือหยุดเดินจะช้ากว่าคนทั่วไป
- กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง กล้ามเนื้อแขน ขา หรือคอแข็ง ขยับยาก อาจรู้สึกปวดหรือเมื่อยตามร่างกายได้ง่าย
- เสียสมดุลและทรงตัวลำบาก ทำให้ผู้ป่วยล้มได้ง่าย เดินไม่มั่นคง และมีความเสี่ยงต่อการหกล้ม


นอกจากอาการหลักที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวแล้ว ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันยังอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น
- อาการซึมเศร้า วิตกกังวล
- นอนไม่หลับ
- เหงื่อออกผิดปกติ
- ท้องผูกเรื้อรัง
- พูดเสียงเบา
- กลืนอาหารลำบาก
- มีปัญหาความจำหรือสมาธิลดลง
อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยต้องการการดูแลจากคนรอบข้างมากขึ้นด้วย การสังเกตและเข้าใจอาการที่เกิดขึ้นแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาและฟื้นฟูอย่างเหมาะสม มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว


วิธีป้องกันโรคพาร์กินสัน
แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีวิธีป้องกันโรคพาร์กินสันได้อย่างชัดเจน เพราะสาเหตุหลักของโรคนี้เกี่ยวข้องกับการเสื่อมของเซลล์สมองที่ไม่สามารถควบคุมได้โดยตรง แต่เราสามารถลดความเสี่ยงและชะลอการเกิดโรคได้ด้วยการดูแลสุขภาพและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะช่วยให้สมองและร่างกายแข็งแรงขึ้น ดังนี้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การเคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือเล่นโยคะ จะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังช่วยลดความเครียดและทำให้สมองหลั่งสารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ
- กินอาหารที่ดีต่อสมอง เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมอง เช่น ผักผลไม้ ธัญพืช ปลา และอาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและไขมันทรานส์ รวมถึงดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน
- หลีกเลี่ยงสารพิษและสารเคมีอันตราย พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารกำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือโลหะหนักในชีวิตประจำวัน รวมถึงป้องกันตนเองขณะทำงานในพื้นที่เสี่ยงต่อสารเคมี
- หมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย หากเริ่มมีอาการสั่น เคลื่อนไหวช้า หรือรู้สึกแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาและตรวจเช็กสุขภาพสมองแต่เนิ่น ๆ
- ลดความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ ความเครียดเรื้อรังอาจส่งผลต่อการทำงานของสมอง การพักผ่อนให้เพียงพอและหากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น ฟังเพลง นั่งสมาธิ หรือพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง จะช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้นและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค


จะรู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยงเป็นโรคพาร์กินสัน
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบความเสี่ยงโรคพาร์คินสันด้วยตัวเองเบื้องต้นได้ง่าย ๆ ผ่านสมาร์ตโฟน นั่นคือ “แอปพลิเคชัน Check PD” ซึ่งพัฒนาโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท แอปนี้จะช่วยประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นจากอาการต่าง ๆ ที่คุณกรอกลงไป เช่น อาการสั่น แขนขาแข็งเกร็ง หรือการเคลื่อนไหวผิดปกติ พร้อมแนะนำแนวทางเบื้องต้นหากพบว่ามีความเสี่ยงสูง


ข้อดีของแอป Check PD
- ใช้งานง่าย สะดวก และ ไม่เสียค่าใช้จ่าย
- ประเมินความเสี่ยงโรคพาร์กินสันเบื้องต้นได้จากที่บ้าน
- มีคำแนะนำในการดูแลสุขภาพหรือแนวทางการพบแพทย์
- เหมาะกับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ดูแล


หมายเหตุ
แอป Check PD เป็นเพียงเครื่องมือประเมินเบื้องต้น ไม่ใช่การวินิจฉัยโรคอย่างเป็นทางการ หากแอปประเมินว่าคุณมีความเสี่ยงสูง ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและวินิจฉัยอย่างละเอียดต่อไป
ใครที่อยากรู้ว่าตัวเองเสี่ยงโรคพาร์กินสันหรือไม่ ลองดาวน์โหลดและใช้แอป Check PD ดูได้เลย เพื่อสุขภาพที่ดีและการป้องกันโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ
โรคพาร์กินสัน เป็นโรคทางระบบประสาทที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก อาการหลักที่เห็นได้ชัดคือการสั่นของร่างกายและกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง แม้สาเหตุจะยังไม่ชัดเจนแต่การดูแลสุขภาพให้ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และใส่ใจสุขภาพจิต จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้ หากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการที่คล้ายกับโรคพาร์กินสัน ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาและการรักษาที่เหมาะสม จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุขมากขึ้น

 


ข้อมูลจาก
ผศ. พญ.อรพิชญา ศรีวรรโณภาส
สาขาวิชาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล


 


ที่มา https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%AD