ยาคุมกำเนิดกินนาน ๆ อันตรายไหม?

“ยาคุมกำเนิด” เป็นหนึ่งในวิธีคุมกำเนิดที่ผู้หญิงนิยมใช้มากที่สุด ด้วยความสะดวก ปรับรอบเดือนให้สม่ำเสมอ และช่วยลดอาการก่อนมีประจำเดือน แต่คำถามที่มักได้ยินบ่อยคือ “กินยาคุมกำเนิดติดต่อกันนาน ๆ จะเป็นอันตรายไหม?” มาหาคำตอบไปพร้อมกัน


ยาคุมกำเนิดคืออะไร
ยาคุมกำเนิด (Oral Contraceptive Pills) คือยาที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการตกไข่ ทำให้เยื่อบุมดลูกไม่เหมาะต่อการฝังตัวของตัวอ่อน และทำให้มูกบริเวณปากมดลูกข้นขึ้น ป้องกันไม่ให้อสุจิเข้าไปปฏิสนธิกับไข่


กินยาคุมกำเนิดนาน ๆ มีผลอย่างไร
โดยทั่วไป “การกินยาคุมกำเนิดในระยะยาว” ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากรับประทานอย่างถูกวิธี ภายใต้การดูแลของแพทย์ และไม่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมน อย่างไรก็ตาม ควรสังเกตอาการและตรวจสุขภาพเป็นระยะ เพราะผลข้างเคียงและความเหมาะสมของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน
ผลดีที่เกิดขึ้น
- รอบเดือนสม่ำเสมอ ปวดประจำเดือนน้อยลง
- ผิวพรรณดีขึ้น ลดสิว
- ลดความเสี่ยง “มะเร็งเยื่อบุมดลูก” และ “มะเร็งรังไข่”
- ลดภาวะซีสต์ในรังไข่บางชนิด
ผลข้างเคียงที่อาจพบ
- น้ำหนักตัวเพิ่มเล็กน้อยหรือบวมน้ำ
- คลื่นไส้ คัดเต้านม อารมณ์แปรปรวน
- เสี่ยงต่อ “ลิ่มเลือดอุดตัน” ในผู้ที่สูบบุหรี่หรืออายุมากกว่า 35 ปี
- หากหยุดยาคุมทันทีอาจทำให้รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอในช่วงแรก


ใครบ้างที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาคุมกำเนิดระยะยาว
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันสูง ไขมันในเลือดสูง
- ผู้ที่มีประวัติโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหัวใจ
- ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ
- ผู้ที่มีประวัติมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งที่เกี่ยวกับฮอร์โมน


กินยาคุมไปนาน ๆ เสี่ยง “มะเร็งเต้านม” จริงหรือ?
ประเด็นนี้เป็นคำถามยอดฮิตของผู้หญิงหลายคน โดยผลการศึกษาทางการแพทย์พบว่า การใช้ ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Estrogen + Progesterone) ติดต่อกันนานหลายปี อาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมเล็กน้อยขณะใช้อยู่ ความเสี่ยงจะสูงขึ้นเล็กน้อยในผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือ ใช้ยาคุมเกิน 5 ปีขึ้นไป แต่เมื่อหยุดใช้ยาไปแล้ว ความเสี่ยงนี้จะค่อย ๆ ลดลงจนกลับมาใกล้เคียงกับคนทั่วไปภายในประมาณ 5–10 ปี
อย่างไรก็ตาม ยาคุมกำเนิดมีข้อดีด้านอื่นที่ชัดเจน เช่น ลดความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ และมะเร็งเยื่อบุมดลูก หรือลดการเกิดซีสต์ในรังไข่ และช่วยควบคุมรอบเดือนให้สม่ำเสมอได้
ดังนั้น ผู้หญิงที่ต้องการคุมกำเนิดระยะยาวควร ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อประเมินความเสี่ยงเฉพาะบุคคล โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือมีภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล แพทย์อาจพิจารณาเปลี่ยนไปใช้ยาคุมชนิดที่มีโปรเจสเตอโรนเดี่ยว หรือวิธีคุมกำเนิดแบบไม่ใช้ฮอร์โมนแทน
คำแนะนำจากแพทย์
- ตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำทุกเดือน
- ตรวจอัลตราซาวด์หรือแมมโมแกรมปีละครั้ง (โดยเฉพาะผู้ที่อายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป)
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น คลำพบก้อน เจ็บเต้านม หรือมีของเหลวไหลจากหัวนม ควรรีบพบแพทย์


คำถามที่พบบ่อย
Q1 : ถ้าหยุดยาคุมหลังจากกินมานาน จะมีผลข้างเคียงไหม?
A: บางคนอาจมีอาการ “รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ” ชั่วคราว หรือสิวกลับมาในช่วงแรก แต่ร่างกายจะค่อย ๆ ปรับสมดุลภายใน 1–3 เดือน และสามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติเมื่อหยุดยา


Q2 : กินยาคุมกำเนิดนาน ๆ จะเป็นหมันไหม?
A: ไม่จริง ยาคุมไม่ได้ทำให้เป็นหมัน หลังหยุดยา รังไข่จะกลับมาทำงานตามปกติ สามารถตั้งครรภ์ได้ในระยะเวลาไม่นาน ยกเว้นบางรายที่มีภาวะมีบุตรยากอยู่แล้ว


Q3 : ควรตรวจสุขภาพอะไรบ้างหากใช้ยาคุมต่อเนื่องหลายปี?
A: ควรตรวจสุขภาพสตรีปีละ 1 ครั้ง เช่น ตรวจเต้านม ตรวจภายใน ตรวจมะเร็งปากมดลูก และวัดความดันโลหิต เพื่อประเมินผลข้างเคียงของฮอร์โมนและปรับสูตรยาคุมให้เหมาะสม


การกินยาคุมกำเนิดต่อเนื่องเป็นเวลานานไม่ได้เป็นอันตรายต่อร่างกายโดยตรง หากอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และเลือกสูตรที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล แต่หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดหัวมาก เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก หรือเลือดออกผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที


 

 


พญ. ธาริณี อธิบธานนท์
โรงพยาบาลพญาไท 2
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.phyathai.com/th/article/oral-contraceptive-pills-pt2