โรคแพ้เหงื่อตัวเอง หรือ cholinergic urticaria
เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อย เกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ของร่างกายต่อเหงื่อของตัวเอง ผู้ป่วยจะมีอาการผื่นคัน บวม แดง นูน เป็นตุ่มคล้ายลมพิษ หลังจากออกกำลังกาย
อาบน้ำอุ่น หรืออยู่ในที่ร้อนอบอ้าว สาเหตุที่แน่ชัดของโรคแพ้เหงื่อตัวเองยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ ได้แก่
พันธุกรรม ประมาณ 50% ของผู้ป่วยโรคแพ้เหงื่อตัวเองมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้
ปัจจัยกระตุ้น
เหงื่อ อากาศร้อน ออกกำลังกาย อาหารรสจัด ความเครียด
โรคอื่นๆ
บางครั้งโรคแพ้เหงื่อตัวเองอาจเกิดร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น โรคไทรอยด์ โรค SLE
อาการที่พบบ่อยของโรคแพ้เหงื่อตัวเองคือ
- ผื่นคัน บวม แดง นูน เป็นตุ่มคล้ายลมพิษ
- มักเกิดหลังจากออกกำลังกาย อาบน้ำอุ่น หรืออยู่ในที่ร้อนอบอ้าว
- ตุ่มมักมีขนาดเล็ก 2-4 มิลลิเมตร
- อาจมีอาการแสบร้อน
- ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการหายใจลำบาก
- อาการมักหายไปเองภายใน 1-2 ชั่วโมง
**การวินิจฉัย**
แพทย์จะวินิจฉัยโรคแพ้เหงื่อตัวเองโดยอาศัยประวัติอาการ
การตรวจร่างกาย และการทดสอบทางผิวหนัง
เช่น การทดสอบการเสียดสีผิวหนัง (skin prick test)
การทดสอบการออกกำลังกาย (exercise challenge test)
การรักษาโรคแพ้เหงื่อตัวเองมีวัตถุประสงค์
เพื่อลดอาการคัน บรรเทาผื่น และป้องกันการเกิดผื่น
วิธีการรักษา ได้แก่
* หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น : หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก อาบน้ำอุ่น อยู่ในที่ร้อนอบอ้าว
* ยารับประทาน : ยาแก้แพ้ ยาต้านฮีสตามีน ยาสเตียรอยด์
* การฉีดยา ในรายที่มีอาการรุนแรง
* การรักษาด้วยแสง UVB
* การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต : ลดน้ำหนัก สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
* ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรรมเพื่อความปลอดภัย
ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของโรคแพ้เหงื่อตัวเองคือ
อาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น และลำคอ อาจทำให้หายใจลำบาก ช็อก ในรายที่รุนแรงมาก
**การป้องกัน**
**โรคแพ้เหงื่อตัวเองเป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย
แม้ว่าจะไม่ใช่อาการร้ายแรง แต่ก็สร้างความรำคาญไม่น้อย
เพราะฉะนั้นการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี และการปรึกษาแพทย์ จะช่วยควบคุมอาการ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ดียิ่งขึ้น
ข้อมูลจาก กรมอนามัย