ปัจจุบันเครื่องดื่มที่มีรสชาติหวานได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของใครหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นชานมไข่มุก น้ำอัดลม กาแฟ นมเปรี้ยว หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แม้ว่าเครื่องดื่มเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความรู้สึกสดชื่น และกระปรี้กระเปร่าเพิ่มมากขึ้น แต่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดไขมันสะสมหน้าท้อง หรือพุง อันเป็นผลมาจากปริมาณแคลอรีและน้ำตาลที่มีอยู่ในเครื่องดื่มเหล่านี้
“น้ำตาล” สาเหตุที่ก่อให้เกิดไขมันสะสมหน้าท้อง
เนื่องจากเครื่องดื่มที่มีรสชาติหวานนั้นมีส่วนผสมของ “น้ำตาล” จึงจัดอยู่ในกลุ่มสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตที่สามารถดูดซึมได้ง่าย เปลี่ยนเป็นไขมันได้อย่างรวดเร็ว และมีการกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมามาก ซึ่งส่งผลทำให้หิวบ่อย เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งทำให้ตับมีการสะสมไขมันมากขึ้นหากมีฮอร์โมนอินซูลินที่มากเกินไป ถึงแม้ว่าจะเป็นสารอาหารที่สามารถสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย แต่ร่างกายของทุกคนจะมีปริมาณแคลอรีที่ต้องได้รับต่อวันอย่างจำกัดเช่นกัน
ดังนั้นหากมีปริมาณแคลอรีมากเกินไปพลังงานเหล่านั้นจะเปลี่ยนเป็นไขมันที่สะสมภายในร่างกายได้ ทั้งบริเวณใต้ผิวหนัง (subcutaneous fat) และภายในช่องท้องเกาะตามอวัยวะที่สำคัญ (visceral fat) เช่น ตับ ทำให้เกิดภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่าง ๆ (NCDs) ตามมาได้มากมาย
จากผลการสำรวจของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายพบว่า คนไทยรับประทานน้ำตาลมากถึง 25 ช้อนชาต่อวัน ซึ่งมากกว่าเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำถึง 4 เท่า โดยแนะนำว่าไม่ควรรับประทานน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน
สอดคล้องกับผลการสำรวจพฤติกรรมด้านสุขภาพของประชากรไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป พ.ศ. 2564 จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะวัยผู้ใหญ่ อายุ 25 -59 ปี มีการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลทุกวันในอัตราส่วนที่สูงกว่าช่วงวัยอื่น โดยดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลบรรจุขวดทุกวัน ร้อยละ 34.2 และดื่มเครื่องดื่มชงทุกวัน เช่น ชา กาแฟ น้ำหวาน ชานม เป็นต้น ร้อยละ 58.3
จากข้อมูลข้างต้นชี้ให้เห็นว่า คนไทยมีอัตราการดื่มเครื่องดื่มที่มีพลังงานและน้ำตาลสูง ซึ่งเป็นพฤติกรรมการรับประทานที่เสี่ยงต่อการทำลายสุขภาพและเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่ไม่ติดต่อเรื้อรัง
ประเภทของเครื่องดื่มที่เสี่ยงต่อการเกิดไขมันสะสมหน้าท้อง
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เครื่องดื่มยอดนิยมไม่ว่าจะเป็น ไวน์ เบียร์ หรือเหล้า ไม่ได้มีฤทธิ์แค่ทำให้มึนเมาเท่านั้น แต่ในตัวของแอลกอฮอล์ที่ผสมในเครื่องดื่มนั้นยังมีพลังงานสะสมอยู่ด้วย ใน 1 กรัมของแอลกอฮอล์ จะให้พลังงานอยู่ที่ 7 แคลอรี ใกล้เคียงกับพลังงานจากไขมัน โดย 1 ดริงก์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (เหล้า 30 ml, ไวน์ 100 ml, เบียร์ 330 ml) จะมีแอลกอฮอล์ประมาณ 10-14 กรัม และมีคาร์โบไฮเดรต 0, 3, 13 กรัม เทียบเท่ากับปริมาณน้ำตาล 1-3 ช้อนชา ต่อ 1 ดริงก์
แอลกอฮอล์ เป็นกลุ่มเครื่องดื่มที่เมื่อดื่มเข้าไปร่างกายไม่ได้มีการนำไปใช้ประโยชน์ ดังนั้นจึงเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมไว้ภายในร่างกาย และก่อให้เกิดไขมันที่หน้าท้อง หรือพุง ไม่เพียงเท่านั้นยังเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดไขมันในเส้นเลือดสูง ไขมันพอกตับ ตับแข็ง และมะเร็งตับอีกด้วย
เครื่องดื่มชงแบบเย็น
โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลทราย รวมไปถึงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของฟรุกโตสคอร์นไซรัปและน้ำผึ้ง เช่น กาแฟเย็น ชาเขียวเย็น ชาดำเย็น เป็นต้น ซึ่งเครื่องดื่มเย็นเหล่านี้ ใน 1 แก้ว จะมีน้ำตาลประมาณ 12 ช้อนชา
เครื่องดื่มสำเร็จรูป
- น้ำอัดลมหรือน้ำหวาน 1 กระป๋องหรือขวด (325 ml) ปริมาณน้ำตาล 8 – 10 ช้อนชา
- เครื่องดื่มชูกำลัง 1 ขวด (150 ml) ปริมาณน้ำตาล 7 ช้อนชา
- เครื่องดื่มชง 3 in 1 ปริมาณน้ำตาล 3 ช้อนชา
เครื่องดื่มประเภทนมเปรี้ยวและนมปรุงแต่งรสชาติ
- นมเปรี้ยว 1 ขวดเล็ก (80 ml) ปริมาณน้ำตาล 4 ช้อนชา
- นมปรุงแต่งรสชาติ 1 กล่อง (225 ml) มีปริมาณน้ำตาล 5 ช้อนชา
ผลกระทบจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล
เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลอาจช่วยให้รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลายและทำให้ตื่นตัวมากขึ้น แต่หากดื่มมากเกินไป
อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายอีกมากมายที่ตามมาในภายหลัง ได้แก่
- โรคอ้วน
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
- โรคเบาหวาน
- ไขมันในเลือดผิดปกติ เช่น ไตรกลีเซอไรด์สูง
- ไขมันพอกตับ
- โรคมะเร็งบางชนิด
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคไต
- สมองเสื่อม
- แก่ก่อนวัยอันควร
วิธีการหลีกเลี่ยง
ขั้นที่ 1 ลดความถี่ของการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ต่อ 1 วัน ให้น้อยลงจากปกติ อย่างเช่น 3 แก้วต่อวัน เหลือเพียง 1 แก้วต่อวัน เท่านั้น
ขั้นที่ 2 ลดความถี่ในการดื่มต่อ 1 สัปดาห์ จากเดิม 7 วัน อาจต้องปรับเปลี่ยนเป็นวันเว้นวัน และค่อยปรับลดลงเรื่อย ๆ
ขั้นที่ 3 ลดปริมาณของน้ำตาลที่ใส่ในเครื่องดื่มลง โดยเติมน้ำตาลไม่เกิน 2 ช้อนชาต่อแก้ว ใน 1 วัน ไม่ควรได้รับน้ำตาลที่เติมลงในเครื่องดื่มและอาหารเกิน 6 ช้อนชา
ดังนั้นการเลือกรับประทานอาหารก็เป็นส่วนหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลที่หลายคนขาดไม่ได้ในแต่ละวัน จำเป็นต้องมีการควบคุมปริมาณของน้ำตาลมากขึ้นเพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับน้ำตาลเกินที่กำหนด หากมีความต้องการดื่มเครื่องดื่มเหล่านั้นจึงไม่ควรมีน้ำตาลเกิน 2 ช้อนชา เพื่อลดความเสี่ยงภาวะอ้วนลงพุง และโรคภัยต่าง ๆ ที่อาจตามมาในภายหลัง
ข้อมูลจาก : ดร.วนะพร ทองโฉม (นักกำหนดอาหารวิชาชีพ)นักสุขศึกษา งานสร้างเสริมสุขภาพคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดล
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล :https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article