ภาวะธาตุเหล็กเกิน (Iron Overload)

ภาวะธาตุเหล็กเกิน (Iron Overload) หรือที่รู้จักในทางการแพทย์ว่า Hemochromatosis หรือ Iron Overload Disorder เป็นภาวะที่ร่างกายสะสมธาตุเหล็กมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลเสียต่ออวัยวะต่างๆ เช่น ตับ หัวใจ และตับอ่อน ในประเทศไทย ภาวะนี้อาจพบได้ในผู้ที่รับประทานอาหารเสริมธาตุเหล็กมากเกินความจำเป็น ผู้ที่มีโรคทางพันธุกรรม หรือผู้ที่ได้รับเลือดบ่อยครั้งเกินไป


บทความนี้จะอธิบายสาเหตุ อาการ วิธีวินิจฉัย และแนวทางการป้องกันที่เหมาะสม รวมถึงคำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการภาวะนี้เพื่อสุขภาพที่ดี


ภาวะธาตุเหล็กเกินคืออะไร?
คำจำกัดความ:
ภาวะธาตุเหล็กเกิน คือภาวะที่ร่างกายสะสมธาตุเหล็กมากเกินความจำเป็น ส่งผลให้เกิดการสะสมในอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ หัวใจ และต่อมไร้ท่อ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายของอวัยวะ
บทบาทของธาตุเหล็ก:
• ธาตุเหล็กเป็นแร่ธาตุสำคัญในการสร้างฮีโมโกลบินเพื่อลำเลียงออกซิเจน
• หากมากเกินไป อาจก่อให้เกิดอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อ
กลุ่มเสี่ยงในประเทศไทย:
• ผู้ที่มีโรคทางพันธุกรรม เช่น Hemochromatosis (พบน้อยในคนไทย)
• ผู้ที่ได้รับการถ่ายเลือดบ่อย เช่น ผู้ป่วยธาลัสซีเมีย
• ผู้ที่รับประทานอาหารเสริมธาตุเหล็กเกินขนาดโดยไม่จำเป็น
•ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง เช่น ตับแข็งจากไวรัสตับอักเสบ


สาเหตุของภาวะธาตุเหล็กเกิน
โรคทางพันธุกรรม (Primary Hemochromatosis):
• การกลายพันธุ์ของยีน HFE (พบน้อยในคนเอเชียรวมถึงคนไทย) ทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กมากเกินไป
การได้รับธาตุเหล็กมากเกินไป (Secondary Hemochromatosis):
• การถ่ายเลือดบ่อย: เช่น ในผู้ป่วยธาลัสซีเมียหรือโรคโลหิตจางอื่นๆ ที่พบได้ในประเทศไทย
• อาหารเสริมธาตุเหล็ก: การใช้ยาเม็ดหรือยาน้ำธาตุเหล็กเกินขนาดโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
• การบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงมากเกินไป: เช่น การกินตับหรือเครื่องในบ่อยเกินในผู้ที่มีความเสี่ยง
โรคเรื้อรัง:
• โรคตับ เช่น ตับอักเสบเรื้อรังหรือตับแข็ง ซึ่งพบได้บ่อยในคนไทยจากไวรัสตับอักเสบ B หรือ C
•โรคที่รบกวนการเผาผลาญธาตุเหล็ก เช่น โรคเมตาบอลิก
วิถีชีวิต:
• การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีธาตุเหล็กโดยไม่ตรวจระดับธาตุเหล็กในร่างกาย
• การบริโภคเครื่องใน เช่น ตับหมู หรืออาหารที่มีธาตุเหล็กสูงในปริมาณมากเกินไปในบางกลุ่ม
• การดื่มเครื่องดื่มที่มีวิตามิน C ร่วมกับอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ซึ่งเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก


อาการและสัญญาณเตือน
อาการเริ่มต้น (มักไม่ชัดเจน):
• อ่อนเพลียเรื้อรังหรือเหนื่อยง่าย
• ปวดข้อหรือปวดกล้ามเนื้อ
• อาการปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ
อาการในระยะที่รุนแรงขึ้น:
• ผิวหนังเปลี่ยนสี เช่น ผิวคล้ำหรือเป็นสีเทา (bronze skin)
• เจ็บหรือบวมที่ตับ (Hepatomegaly)
• หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหัวใจวายจากธาตุเหล็กสะสมในหัวใจ
• เบาหวานจากความเสียหายที่ตับอ่อน
อาการเฉพาะในบางกลุ่ม:
• ในผู้ชาย: ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศหรือลดความต้องการทางเพศ
• ในผู้หญิง: ประจำเดือนขาดหรือผิดปกติ
• ในเด็ก: การเจริญเติบโตช้า (พบน้อย)
ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง:
• ตับแข็งหรือมะเร็งตับจากธาตุเหล็กสะสมในตับ
• โรคหัวใจหรือภาวะหัวใจล้มเหลว
• ความเสียหายของต่อมไร้ท่อ เช่น ภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์


การวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย:
• ตรวจผิวคล้ำ ปวดข้อ หรือตับโต
• ตรวจสัญญาณของโรคตับหรือหัวใจ
การตรวจในห้องปฏิบัติการ:
• Serum Ferritin: ระดับสูง (>300 ng/mL ในผู้ชาย, >200 ng/mL ในผู้หญิง) บ่งชี้การสะสมธาตุเหล็ก
• Transferrin Saturation: ค่าสูง (>45%) แสดงถึงการดูดซึมธาตุเหล็กมากเกิน
• Serum Iron และ Total Iron-Binding Capacity (TIBC): ช่วยยืนยันภาวะธาตุเหล็กเกิน
• Liver Function Tests: ตรวจการทำงานของตับที่อาจได้รับผลกระทบ
การตรวจภาพวินิจฉัย:
• MRI หรือ CT เพื่อตรวจการสะสมธาตุเหล็กในตับหรือหัวใจ
• การตัดชิ้นเนื้อตับ (Liver Biopsy) ในกรณีสงสัยตับแข็งหรือมะเร็งตับ
การตรวจพันธุกรรม:
• ตรวจยีน HFE ในผู้ที่สงสัยว่าเป็น Primary Hemochromatosis (พบน้อยในคนไทย)
การประเมินประวัติ:
• สอบถามประวัติการถ่ายเลือด การใช้ยา/อาหารเสริมธาตุเหล็ก หรือการบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
• ประวัติครอบครัวเกี่ยวกับโรคตับหรือภาวะธาตุเหล็กเกิน


 

การรักษา
การลดระดับธาตุเหล็ก:
• Chelation Therapy: ใช้ยา เช่น Deferoxamine หรือ Deferasirox เพื่อขับธาตุเหล็กในผู้ป่วยที่ไม่สามารถเจาะเลือดได้ เช่น ผู้ป่วยธาลัสซีเมีย
• Phlebotomy (การเจาะเลือด): ถอนเลือดออกจากร่างกาย (500 มล. ต่อครั้ง สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง) เพื่อลดระดับธาตุเหล็ก (ใช้ใน Primary Hemochromatosis)
การจัดการอาหาร:
• ลดการบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับ เนื้อแดง หรือเครื่องใน
• หลีกเลี่ยงการรับประทานวิตามิน C พร้อมอาหารที่มีธาตุเหล็ก เพื่อลดการดูดซึม
• จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อความเสียหายของตับ
การหยุดยา/อาหารเสริมธาตุเหล็ก:
• หยุดการใช้ยาเม็ดหรือยาน้ำธาตุเหล็กที่ไม่จำเป็น
• ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีธาตุเหล็ก
การรักษาโรคที่เกี่ยวข้อง:
• รักษาโรคตับ เช่น การใช้ยาต้านไวรัสในตับอักเสบ
• จัดการภาวะแทรกซ้อน เช่น เบาหวานหรือโรคหัวใจ
การติดตามผล:
• ตรวจระดับ Ferritin และ Transferrin Saturation ทุก 3-6 เดือน
• ตรวจการทำงานของตับและหัวใจเป็นประจำ


การป้องกันภาวะธาตุเหล็กเกิน
การจัดการอาหาร:
• หลีกเลี่ยงการบริโภคเครื่องใน เช่น ตับหมู หรือตับไก่บ่อยเกินไป
• รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กในปริมาณสมดุล เช่น ผสมผสานเนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้
• หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำผลไม้ที่มีวิตามิน C พร้อมมื้ออาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
การใช้ยาและอาหารเสริมอย่างระมัดระวัง:
• ใช้ยาเสริมธาตุเหล็กเฉพาะเมื่อแพทย์แนะนำและมีการตรวจระดับธาตุเหล็ก
• อ่านฉลากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงธาตุเหล็กที่ไม่จำเป็น
การตรวจสุขภาพเป็นประจำ:
• ตรวจระดับ Ferritin และการทำงานของตับในผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยธาลัสซีเมียหรือโรคตับ
• ตรวจคัดกรองในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็น Hemochromatosis
ในผู้ป่วยธาลัสซีเมีย:
• ติดตามการถ่ายเลือดและใช้ยาขับธาตุเหล็กตามคำแนะนำของแพทย์
• เข้ารับการตรวจ MRI เพื่อประเมินการสะสมธาตุเหล็กในตับและหัวใจ
การให้ความรู้:
• สอนประชาชนเกี่ยวกับอันตรายของการใช้อาหารเสริมธาตุเหล็กโดยไม่จำเป็น
• เน้นย้ำความสำคัญของการตรวจสุขภาพในกลุ่มเสี่ยง


คำถามที่พบบ่อยในบริบทคนไทย
ทำไมคนไทยบางคนมีภาวะธาตุเหล็กเกิน?
• ส่วนใหญ่เกิดจากการถ่ายเลือดบ่อย (เช่น ในผู้ป่วยธาลัสซีเมีย) หรือการใช้อาหารเสริมธาตุเหล็กเกินขนาด
อาหารไทยชนิดใดควรหลีกเลี่ยงในภาวะนี้?
• ตับผัดกระเทียม เลือดหมู หรือเครื่องในอื่นๆ ควรบริโภคในปริมาณจำกัด
ยาเสริมธาตุเหล็กปลอดภัยหรือไม่?
• ปลอดภัยเฉพาะเมื่อใช้ตามคำแนะนำแพทย์ การใช้เกินอาจนำไปสู่ภาวะธาตุเหล็กเกินได้
อาหารเสริมธาตุเหล็กควรกินหรือไม่?
• ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อน ซึ่งโดยทั่วไปควรกินไม่เกินปริมาณที่แนะนำ (15 มิลลิกรัมต่อวัน) การใช้เกินอาจนำไปสู่ภาวะธาตุเหล็กเกินได้
ผู้ป่วยธาลัสซีเมียควรดูแลตัวเองอย่างไร?
• ใช้ยาขับธาตุเหล็กและตรวจระดับธาตุเหล็กในร่างกายเป็นประจำ


สรุป
ภาวะธาตุเหล็กเกินเป็นภาวะที่สามารถจัดการได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสม รวมถึงการปรับอาหารและวิถีชีวิต คนไทยควรระวังการใช้อาหารเสริมธาตุเหล็กโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยธาลัสซีเมียหรือโรคตับ การตรวจสุขภาพเป็นประจำและการจัดการอาหารอย่างสมดุลจะช่วยป้องกันภาวะนี้และลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน


คำแนะนำ:
หากมีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ผิวคล้ำ หรือปวดข้อ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจระดับธาตุเหล็ก (Ferritin) และการทำงานของตับ หรือพิจารณาใช้บริการ ตรวจวิตามินและแร่ธาตุในเลือด เพื่อประเมินภาวะธาตุเหล็กเกิน


แหล่งข้อมูลอ้างอิง :




  • กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย: แนวทางการจัดการธาลัสซีเมียและภาวะธาตุเหล็กเกิน

  • National Institute of Health (NIH): Hemochromatosis and Iron Overload

  • World Health Organization (WHO): Guidelines on Iron Overload Management


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : https://mbrace.bnhhospital.com/iron-overload-condition