การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของโรคฝีดาษลิงทำให้องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศ "ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ" ในเดือนกรกฎาคม
นายเทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส (Tedros Adhanom Ghebreyesus) ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก กล่าวในแถลงการณ์ว่า “การแพร่ระบาดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการแพร่ระบาดในครั้งนี้ เป็นการแพร่เชื้อในรูปแบบใหม่ ซึ่งเรายังมีความเข้าใจในเรื่องนี้น้อยอยู่มาก”
ฝีดาษลิงอันตรายแค่ไหน?
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) กล่าวว่า โรคฝีดาษลิงอยู่ในตระกูลเดียวกันกับไวรัสไข้ทรพิษ โดยถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1958 ในกลุ่มลิงที่ใช้ในการวิจัย และผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรายแรกถูกบันทึกไว้ในปี 1970 ส่วนใหญ่แล้วไวรัสนี้จะแพร่ระบาดโดยการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ และจนถึงในปีนี้ เชื้อไวรัสยังไม่ค่อยแพร่กระจายออกนอกทวีปแอฟริกานัก แต่ก็มีในรายงานผู้ป่วยรายใหม่ในยุโรปและที่อื่น ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการระบาดนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกแล้ว
อาการของโรคฝีดาษลิงนั้นคล้ายกับไข้ทรพิษ แต่รุนแรงน้อยกว่า โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีไข้ ปวดเมื่อย และเหนื่อยล้าเท่านั้น แต่บางคนอาจมีผื่นขึ้นโดยมีบาดแผลบนใบหน้าและมือ ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ และตามปกติแล้วผู้ติดเชื้อจะมีอาการป่วยอยู่ 2-4 สัปดาห์
ทั้งนี้ เชื้อไวรัสสามารถแพร่ระบาดจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสโดยตรงกับผื่นที่ติดเชื้อ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ หรือการสัมผัสกับเสื้อผ้าหรือผ้าปูที่นอน นอกจากนี้ สตรีมีครรภ์ยังสามารถแพร่เชื้อไวรัสนี้ไปยังทารกในครรภ์ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัสนี้ไม่เหมือนกับโคโรนาไวรัสที่ทำให้เกิดการระบาดใหญ่ของโควิด-19 เพราะโรคฝีดาษลิงไม่สามารถแพร่กระจายได้ง่าย ๆ ในอากาศ และถึงแม้ว่าใคร ๆ ก็สามารถแพร่เชื้อไวรัสได้ แต่การแพร่ระบาดนอกแอฟริกาในปัจจุบันดูเหมือนจะแพร่กระจายไปในหมู่ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเป็นหลัก
เหตุใดโรคฝีดาษลิงจึงถูกประกาศให้เป็นภาวะเหตุฉุกเฉิน?
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจากหลาย ๆ ประเทศเรียกร้องให้ WHO ประกาศให้โรคฝีดาษลิงเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข เนื่องจากโรคนี้แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในช่วงเดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การประกาศภาวะฉุกเฉินนั้น มักจะนำมาซึ่งทรัพยากรและการดำเนินการเพื่อจัดการกับการแพร่ระบาด นอกจากนี้ ยังช่วยผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกันในการทดสอบและผลิตวัคซีนและวิธีการรักษาโรคนี้ สำหรับในตอนนี้ WHO กล่าวว่า ความเสี่ยงของผู้คนทั่วโลกในการติดเชื้อฝีดาษลิงนั้นยังอยู่ในระดับปานกลาง ยกเว้นในยุโรปซึ่งถูกระบุว่าเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
วิธีการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของ CDC แนะนำวิธีการป้องกันการติดเชื้อไว้ ดังนี้
- ห้ามจับ กอด จูบ หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยฝีดาษลิง
- ห้ามใช้ของที่ใช้ในการกินหรือดื่มร่วมกัน
- ห้ามสัมผัสผ้าปูที่นอนหรือเสื้อผ้าของผู้ติดเชื้อ
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้เจลล้างมือ
ส่วนในแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์แนะนำให้ผู้คนควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ที่สามารถแพร่กระจายเชื้อไวรัสที่ทำให้เป็นโรคฝีดาษลิงได้ เช่น ลิงและหนู และว่าควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่ป่วยหรือตายแล้วด้วย
เวลานี้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขยังคงศึกษาว่า เด็กและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้วมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้มากกว่าคนอื่น ๆ หรือไม่?
วิธีการรักษา
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกล่าวว่า หากมีอาการป่วยจากการติดเชื้อฝีดาษลิง ควรกักตัวเองต่อไป เพราะยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ แต่ CDC กล่าวว่า โรคฝีดาษลิงและไข้ทรพิษนั้นมีความคล้ายคลึงกันทางพันธุกรรม ซึ่งหมายความว่ายาต้านไวรัสและวัคซีนที่พัฒนาขึ้นเพื่อป้องกันไข้ทรพิษอาจถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันและรักษาการติดเชื้อโรคฝีดาษลิงด้วย
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของสหรัฐฯ และยุโรป กล่าวว่า อาจให้ยาต้านไวรัส เช่น tecovirimat กับผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะมีอาการรุนแรง ซึ่งคนกลุ่มนี้รวมไปถึงผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง นอกจากนี้ ยังมีประกาศไปเมื่อเร็วๆ นี้ว่า จะมีการส่งวัคซีนป้องกันฝีดาษลิงไปยังชุมชนที่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ โดยวัคซีนที่ต้องฉีด 2 เข็มนี้ ถูกผลิตขึ้นที่โรงงาน Bavarian Nordic ในประเทศเดนมาร์ก
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : วีโอเอ, WHO, CDC, https://www.voathai.com/a/6685642.html