ก้าวที่สำคัญก่อนการบรรลุเป้าหมาย 9 to zero หรือภาวะไร้ซึ่งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างสมบูรณ์ คือ "การมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน" (Carbon Neutral) หรือการไม่ปฏิเสธต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเริ่มทำอย่างจริงจัง จากก้าวเล็ก ๆ สู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่
ผศ.ดร.ธนกฤต เนียมหอม ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและการพัฒนาที่ยั่งยืน คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมคณะในการเป็น "ส่วนงานนำร่องสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน" (Green and Carbon Neutral Faculty)
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญในการเดินหน้า "ภารกิจสีเขียว" ที่สำคัญของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เกิดจาก "ข้อจำกัดในเชิงพื้นที่" จากสถานที่ตั้งซึ่งอยู่ในเขตเมืองหลวง ที่มีความแออัดและเต็มไปด้วยมลพิษ แตกต่างไปจากวิทยาเขตอื่น ๆ ของมหาวิทยาลัยมหิดลที่อยู่ในต่างจังหวัด ซึ่งยังคงแวดล้อมไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ
แต่ยังคงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเท่าใดนัก หากนับรวมพื้นที่รับผิดชอบในเขตอำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ของ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่มี "การดูดกลับ" ด้วยการปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้น
โดยเมื่อปี พ.ศ. 2565 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการศึกษาปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามแนวทางขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก พบว่า มีการปล่อยระบายคาร์บอนจากทั้ง 3 scope จำนวน 1,474 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งพบว่าแหล่งกำเนิดที่ปล่อยมากที่สุด คือ การใช้ไฟฟ้าในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ สูงถึง 74%
เพื่อลดอัตราการใช้ไฟฟ้า คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีแนวทางสอดคล้องกับการช่วยลดก๊าซเรือนกระจก ได้แก่ การติดตั้ง Solar Rooftop ร่วมกับการจัดการขยะ และลดการใช้ถุงพลาสติกที่ยังคงมีประสิทธิภาพในปัจจุบัน โดยจะทำให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จากประมาณ 20% เหลือเพียงประมาณ 1,180 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งเป็นการแบ่งเบาภาระจำเป็นจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มาจากการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นจำนวนมากในอาคารเรียน - สำนักงาน พื้นที่ส่วนกลาง และพื้นที่ให้บริการทางด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนของคณะ โดยดำเนินการตามกลยุทธ์เพื่อรักษาสมดุลระหว่างมลภาวะ (Pollution) สุขภาวะ (Health) และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
ผศ.ดร.ธนกฤตมองว่า เรื่องของ SDGs หรือเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ เป็นเรื่องที่ทุกองค์กรต้องให้ความสำคัญ และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะบรรลุเป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น หากสามารถนำทุกกิจกรรมมาคำนวณออกมาเป็นตัวเลข แล้วนำไปเทียบกับการใช้จริงในชีวิตประจำวัน โดยจะทำให้เห็นภาพที่ชัดเจน และเกิดความตระหนักร่วมกันมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น การทำให้เห็นว่า หากสามารถประหยัดน้ำได้เพียงวันละ 5 ลิตร เมื่อรวมกัน 1 ปี จะเท่ากับปริมาณน้ำที่นำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้เป็นจำนวนมากเพียงใด เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมองว่าปฏิบัติการ "ลดปล่อย" พร้อม "ดูดกลับ" ก๊าซเรือนกระจก เทียบไม่ได้กับการซื้อ-ขาย "คาร์บอนเครดิต" กันในปัจจุบัน ซึ่งอาจเป็นเพียงตัวเลขที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ถึงอย่างไรยังนับว่าดีต่อ "การสร้างแรงกระเพื่อม" ให้เกิดความตระหนักในอนาคตของ "โลกสีเขียว" ที่ถือเป็น "ความรับผิดชอบร่วมกัน"
เช่นเดียวกับคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่พร้อมมุ่งสู่การเป็น "ส่วนงานนำร่องสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน" (Green and Carbon Neutral Faculty) และเพื่อเป็นต้นแบบของการใช้พลังงาน และอนุรักษ์ของพื้นที่พญาไท กรุงเทพฯ