สปสช. ชวนคลินิกกายภาพฯ เอกชนร่วมให้บริการผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง

www.medi.co.th

สปสช. ชวนคลินิกกายภาพบำบัดเอกชนเข้าร่วมให้บริการผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง ชี้เป็นการนำทรัพยากรที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในบางช่วงมาให้บริการคนไทยด้วยกันภายใต้ค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ สมประโยชน์ทั้งภาครัฐและเอกชน ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงบริการฟื้นฟูสมรรถภาพได้สะดวกมากยิ่งขึ้น


ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงการเพิ่มทางเลือกให้ผู้ป่วยระยะกลาง (IMC) สามารถเข้ารับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพกายภาพบำบัดกับคลินิกกายภาพบำบัดเอกชนที่เข้าร่วมเป็นหน่วยบริการในระบบบัตรทองว่า แนวคิดนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาลและการเข้าไม่ถึงบริการกายภาพบำบัดของผู้ป่วย เนื่องจากนักกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลมีน้อย ประกอบกับการเข้าสู่ภาวะสังคมผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่บาดเจ็บ และอีกหลายกรณีที่มีความจำเป็นต้องได้รับบริการกายภาพบำบัด ทำให้เกิดปัญหารอคิวนาน


ขณะเดียวกัน เมื่อต้องรอคิวนานก็อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของคนไข้ เนื่องจากช่วงเวลาในการฟื้นฟูสมรรถภาพ จะมีช่วงเวลาทอง ประมาณ 3-6 เดือนหลังจากออกจากโรงพยาบาล ดังนั้นถ้าได้รับการดูแลที่ดี เร็วและต่อเนื่อง จะทำให้หายกลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงคนปกติมากที่สุด แต่ถ้าเข้าสู่การรักษาได้ช้า การฟื้นตัวจะยาก ส่งผลกระทบต่อคนที่อยู่รอบข้างที่ต้องมีภาระในการดูแลเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น


ด้วยเหตุนี้ สปสช. จึงมีแนวคิดกระจายบริการออกไปนอกโรงพยาบาล โดยเชิญชวนภาคเอกชนเข้าร่วมเป็น Public-Private Partnership เอาทรัพยากรของฝั่งเอกชนมาให้บริการประชาชนสิทธิบัตรทองร่วมกับภาครัฐ ขณะที่ สปสช. กระจายงบประมาณไปให้เอกชนที่เข้ามาช่วย เพื่อส่งเสริมให้เกิดการให้บริการที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้การเข้าถึงบริการง่าย สะดวกและทั่วถึงมากขึ้น เบื้องต้น กลุ่มอาการที่ สปสช. ให้สิทธิประโยชน์ในการรับบริการกายภาพบำบัดในคลินิกเอกชน เบื้องต้นจะมีทั้งหมด 4 กลุ่มอาการนี้ก่อน คือ 1.หลอดเลือดสมองแตก 2.คนไข้ที่ได้รับอุบัติเหตุทางสมอง 3.กลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บกระดูกสันหลัง และ 4. กลุ่มที่สะโพกหักชนิดไม่ร้ายแรง ซึ่งในกรณีที่มีผู้บาดเจ็บและได้รับการรักษาจนพ้นวิกฤตแล้ว จะเป็นช่วงฟื้นฟู แทนที่จะให้ให้มาโรงพยาบาล แพทย์อาจมองว่าคิวในโรงพยาบาลยาวและมีเครือข่ายคลินิกกายภาพบำบัดในย่านนั้น ก็สามารถส่งตัวผู้ป่วยไปรับบริการที่คลินิกกายภาพบำบัดใกล้บ้านได้


ทพ.อรรถพร กล่าวอีกว่า การจัดบริการในรูปแบบนี้ นอกจากลดความแออัดและเพิ่มความสะดวกให้ผู้ป่วยไปรับบริการใกล้บ้านได้แล้ว ยังเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายแฝง เพราะแม้ว่าค่ารักษาพยาบาลรัฐจะจ่ายให้ แต่ถ้าต้องมารับบริการที่โรงพยาบาล ค่าเดินทาง ค่ากิน ค่าอยู่ ผู้ป่วยและญาติก็ต้องจ่ายเองทุกอย่าง ดังนั้นการลดภาระมาที่โรงพยาบาลก็เท่ากับช่วยลดค่าใช้จ่ายโดยอ้อมด้วย


“คลินิกกายภาพบำบัดที่เข้าร่วมเป็นหน่วยบริการในระบบบัตรทองสามารถสังเกตได้จากสติ๊กเกอร์ที่ติดหน้าคลินิก จะเป็นคำว่าคลินิกกายภาพบําบัดชุมชนอบอุ่น และมีโลโก้ สปสช. ติดไว้ หรือสามารถโทรศัพท์สอบถามสายด่วน สปสช. 1330 ก็ได้ว่าในพื้นที่มีคลินิกกายภาพบำบัดให้บริการหรือไม่ และขอให้มั่นใจในเรื่องคุณภาพเพราะคลินิกกายภาพบำบัดที่จะเข้ามาร่วมกับ สปสช. ต้องผ่านเกณฑ์การขึ้นทะเบียนก่อน โดยขั้นที่ 1 ต้องไปจดแจ้งกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพหรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และเมื่อผ่านมาตรฐานขั้นต้นแล้ว ในการให้บริการจริง สปสช. กำหนดให้ต้องมีนักกายภาพบำบัดอยู่ประจำตลอดเวลาที่เปิดคลินิก ซึ่งในกระบวนการเหล่านี้ สปสช. ทำงานผ่านสภากายภาพบำบัดที่เข้ามาช่วยดูแลเรื่องคุณภาพให้ ดังนั้นมั่นใจได้ว่าคุณภาพการให้บริการจะไม่ต่างกัน”ทพ.อรรถพร กล่าว


ในส่วนของคลินิกกายภาพบำบัดที่สนใจเข้าร่วมให้บริการประชาชนสิทธิบัตรทองนั้น ทพ.อรรถพร กล่าวว่า ขณะนี้ สปสช. ยินดีต้อนรับทุกคลินิกที่สนใจ โดยสามารถติดต่อไปยังสภากายภาพบำบัดได้เลย ซึ่งเมื่อได้เข้าทะเบียนเป็นหน่วยบริการของ สปสช. แล้ว สปสช. จะผูกคลินิกฯกับโรงพยาบาลที่ โรงพยาบาลจะทราบว่าตัวเองมีคลินิกไหนบ้างที่สามารถกระจายคนไข้ไปได้บ้าง คนไข้ก็สามารถคลินิกที่ใกล้บ้านมากที่สุด

“นโยบายใหญ่คือ สปสช. ต้องการเชิญชวนภาคเอกชนนำทรัพยากรที่มีมาให้บริการสิทธิบัตรทอง โดย สปสช. ออกแบบการจ่ายเงินให้สมน้ำสมเนื้อ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการใกล้บ้าน ลดค่าใช้จ่ายทางอ้อม อีกทั้งเป็นการนำทรัพยากรของเอกชนที่บางเวลาที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ก็นำมาให้บริการคนไทยด้วยกัน เพื่อให้ใช้ทรัพยากรได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน และที่สำคัญที่สุดคือคนไข้ได้ประโยชน์สูงสุด”ทพ.อรรถพร กล่าว