อ้วนลงพุงสร้างโรค

โรงพยาบาลกรุงเทพ

เพราะโรคอ้วนเป็นตัวการที่ทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ตามมามากมาย ดังนั้นการรู้เท่าทันโรคอ้วน ไม่ปล่อยให้ตัวเลขน้ำหนักพุ่งเกินเกณฑ์ และควบคุมปริมาณไขมันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม จะช่วยให้ห่างไกลโรคอ้วน สุขภาพดีได้ในทุกช่วงวัยของชีวิต


รู้จักโรคอ้วน
         โรคอ้วน คือ ภาวะที่มีไขมันสะสมในร่างกายเพิ่มมากขึ้น โดยจะใช้ค่าร้อยละไขมันในร่างกาย > 20 ในชาย หรือ > 30 ในหญิง ภาวะไขมันสะสมอาจมาจากไขมันใต้ผิวหนังมากหรือจากไขมันในช่องท้องมาก ซึ่งวิธีวัดไขมันมีหลายรูปแบบ ที่นิยมใช้คือการวัดจากดัชนีมวลกาย (BMI) [ค่าดัชนีมวลกาย = น้ำหนัก (กิโลกรัม) / ส่วนสูง (เมตร) /ส่วนสูง (เมตร)]

อ้วนลงพุงอย่าปล่อยไว้
          โรคอ้วนลงพุงเป็นภาวะที่มีการสะสมของไขมันในช่องท้องมากเกินไป ทำให้เกิดเมตาบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome) ซึ่งทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างมาก โดยคนท้วมมีโอกาสเกิดอ้วนลงพุงได้ถึงร้อยละ 25
เกณฑ์วินิจฉัยโรคอ้วนลงพุง
          สามารถทำโดยวัดขนาดเส้นรอบเอวมากกว่าเกณท์ ซึ่งจะแตกต่างตามเชื้อชาติ ร่วมกับการพบปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไปใน 4 อย่างดังต่อไปนี้
             - ความดันโลหิตตั้งแต่ 130/85 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป
             - ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดมากกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (Triglyceride > 150 mg/dL)
             - ระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (Fasting Plasma Glucose > 100 mg/dL)
             - ระดับคอเลสเตอรอลชนิดดีในเลือด หรือ High Density Lipoprotein (HDL – Cholesterol) น้อยกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตร สำหรับผู้ชาย และน้อยกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร สำหรับผู้หญิง
วิธีวัดโรคอ้วนลงพุง
          การวัดโรคอ้วนลงพุงจะวัดในท่ายืนตรงขณะหายใจออก และควรวัดในตอนเช้าก่อนกินอาหาร โดยวัดที่จุดกึ่งกลางระหว่างขอบล่างของซี่โครงสุดท้ายถึงจุดสูงสุดของกระดูกสะโพก (Iliac Crest) ซึ่งเส้นรอบเอวมีความสัมพันธ์กับดัชนีมวลกาย ใช้ทำนายการเกิดโรคแทรกซ้อนจากโรคอ้วนได้ดี
          - ประชากรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีนใช้ค่ามากกว่า 90 เซนติเมตรหรือ 36 นิ้วในชาย และมากกว่า 80 เซนติเมตรหรือ 32 นิ้วในหญิง
          - ประชากรในทวีปอเมริกาใช้ค่าเส้นรอบเอวมากกว่า 102 เซนติเมตรในชาย และมากกว่า 88 เซนติเมตรในหญิง
          - ประชากรในทวีปยุโรปใช้ค่ามากกว่า 94 เซนติเมตรในชาย และมากกว่า 80 เซนติเมตรในหญิง

ตัวการอ้วนลงพุง
          คนไทยอายุ 35 ปีขึ้นไปมีปัญหาลงอ้วนลงพุงเกือบร้อยละ 30 ในปี 2011 ที่มีการสำรวจสถานการณ์ความอ้วนในประเทศไทยเทียบเคียงกับประชากรเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน พบว่า ประชากรในประเทศไทยมีค่าเฉลี่ย BMI ≥ 25 อยู่ที่ 32.2% สูงเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มอาเซียน เห็นได้ว่าภาวะอ้วนในประเทศมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 10 – 20 ปี โดยสาเหตุที่ทำให้อ้วนลงพุง ได้แก่
             - การรับประทานอาหารที่มีพลังงานสูงเกินความต้องการของร่างกาย
             - ขาดการออกกำลังกาย เช่น ไม่มีเวลาออกกำลังกาย พฤติกรรมทำงานใช้กำลังกาย ร่างกายไม่พร้อม อดนอน
             - กรรมพันธุ์
             - หยุดและเลิกบุหรี่
             - ยาที่ทำให้น้ำหนักขึ้น เช่น ยาจิตเวช ยากันชัก อินซูลิน สเตียรอยด์
             - โรคต่อมไร้ท่อ เช่น โรคถุงน้ำในรังไข่ กลุ่มอาการคุชชิ่ง ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ
ผลร้ายจากอ้วนลงพุง
          หากตกอยู่ในภาวะอ้วนลงพุงจะส่งผลเสียกับร่างกาย ได้แก่
             - โรคอ้วน ไขมันอุดตัน โรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต ไขมันเกาะตับ มะเร็ง โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคเกาต์ โรคข้อเสื่อม หยุดหายใจตอนนอน (Sleep Apnea) โรคผิวหนัง เชื้อรา เส้นเลือดขอด
             - รอบเอวเพิ่มขึ้นทุก ๆ 5 เซนติเมตร จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคเบาหวานได้มาก 3 – 5 เท่า
ป้องกันอ้วนลงพุง
          การป้องกันที่ดีที่สุดคือการควบคุมน้ำหนักและพฤติกรรมสม่ำเสมอ โดยเริ่มได้ตั้งแต่เด็ก ๆ
รักษาอ้วนลงพุง
          การรักษาภาวะอ้วนลงพุง คือ การลดน้ำหนักอย่างน้อย 5% ซึ่งจะมีผลในการช่วยลดการเกิดโรคแทรกซ้อนจากความอ้วนได้ สามารถทำได้โดยวิธีดังต่อไปนี้
             1) ออกกำลังกาย ประมาณวันละ 30 นาทีขึ้นไป 5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือคนทำงานในออฟฟิศควรพักเพื่อทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวระหว่างวัน
             2) ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารให้ถูกต้อง ได้แก่
                 - บริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน
                 - เพิ่มการทานอาหารที่มีปริมาณกากใยมาก
                 - บริโภคอาหารจำพวกผักได้มากโดยไม่จำกัด
                 - ลดสัดส่วนของอาหารที่จะรับประทาน
                 - หลีกเลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานสูง
                 - รูปแบบควบคุมอาหารมีหลากหลายและได้ผลไม่แตกต่างกัน จะเลือกใช้วิธีการใดแล้วแต่อุปนิสัยและความเหมาะสมของแต่ละคน โดยสิ่งที่ต้องทำ คือ ลดอาหารที่รับประทานลงจากพลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน 500 กิโลแคลอรี่ และลดพฤติกรรมหรือสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้รับประทานอาหารมากขึ้น
           3) การใช้ยาลดน้ำหนัก เมื่อดัชนีน้ำหนักตัวมากกว่า 30 หรือมากกว่า 27 ถ้ามีโรคที่กระทบจากความอ้วน
           4) การรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อลดขนาดกระเพาะอาหาร (Bariatric Surgery) เฉพาะผู้ป่วยที่มีความอ้วนขั้นรุนแรง BMI >40 kg/m2 หรือ BMI >35 kg/m2 ร่วมกับมีผลกระทบต่อสุขภาพที่มาจากโรคอ้วน มีหลายวิธี ได้แก่
                - Malabsorbtive Procedure ได้แก่ Jejunoileal Bypass, Biliopancretic Diversion และ Duodenal Switch ได้ผลในการลดน้ำหนักดีมาก แต่มีโรคแทรกซ้อนมาก
                - Restrictive Procedure เช่น Gastric Banding, Vertical Banded Gastroplasty ลดความจุของกระเพาะอาหาร

          การตระหนักรู้และดูแลตนเองให้ห่างไกลจากโรคอ้วนคือสิ่งสำคัญ เพราะไม่ใช่แค่ตัวเลขบนตราชั่ง แต่คือการมีสุขภาพดีในระยะยาว เนื่องในสัปดาห์วันอ้วนโลก (World Obesity Day) อย่าลืมใส่ใจตัวคุณและคนใกล้ชิดไม่ให้อ้วนลงพุงจนโรครุมเร้าไม่รู้จบ