
ทั้งที่รู้ตัวว่าประจำเดือนมาไม่ปกติ แต่ยังมีสาวๆ อีกหลายคนที่คิดว่าไม่เป็นไร อาจเป็นเพราะว่ารู้สึกแบบนี้มานานแล้ว แต่หารู้ไม่! ว่าแท้จริงแล้วอาจกำลังเสี่ยงกับโรค PCOS โดยไม่รู้ตัว นานวันเข้าอาจกลายเป็นภาวะแทรกซ้อน เพิ่มความเสี่ยงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เบาหวานและโรคอ้วน อีกทั้งยังเป็น 1 ในสาเหตุของภาวะมีบุตรยากอีกด้วย มาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าโรค PCOS คืออะไร และกระทบกับสุขภาพโดยรวมอย่างไร บทความนี้รวมทุกประเด็นที่สาวๆ อยากรู้ พร้อมคำตอบที่ช่วยไขข้อสงสัยให้แล้วที่นี่
รวมคำถาม-ตอบเกี่ยวกับโรค PCOS โรคที่คุณผู้หญิงมีประจำเดือนผิดปกติอยากรู้!
1.โรค PCOS คืออะไร ?
โรค PCOS (Polycystic Ovary Syndrome) หรือโรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ หรือฮอร์โมนในร่างกาย พบบ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งเกิดจากถุงน้ำรังไข่ขนาดเล็กๆ หลายใบในรังไข่ ไม่สามารถเจริญเติบโตจนกลายเป็นไข่ที่ตกตามปกติ ส่งผลให้มีการตกไข่ที่ไม่สม่ำเสมอ หรือไม่มีการตกไข่ ทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์น้อยลง
ซึ่งภาวะนี้ส่งผลกระทบให้เกิดภาวะทรกซ้อนอีกมากมายหากไม่ได้รับการรักษา เช่น โรคเบาหวาน มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น
2.สาเหตุของโรค PCOS เกิดจากอะไร ?
ในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุ แต่พบว่ามีความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกัน ดังนี้
ภาวะฮอร์โมนแอนโดรเจนสูง (Hyperandrogenism) คือ ภาวะที่ผู้หญิงมีฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) มากเกิน อาจมีอาการ เช่น สิวขึ้นเยอะ ขนดก ผมร่วงมาก ซึ่งฮอร์โมนนี้จะรบกวนกระบวนการตกไข่ของร่างกาย ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ
ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin resistance) ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินลดลง ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ร่างกายจึงต้องผลิตอินซูลินให้มากขึ้นตาม เมื่อระดับอินซูลินในร่างกายสูงกว่าปกติ รังไข่จะถูกกระตุ้นและผลิตฮอร์โมนเพศชายที่มากเกินพอดี และทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และเกิดการสะสมไขมันมากขึ้น เสี่ยงต่อโรคอ้วนอีกด้วย
3.โรค PCOS มีอาการเป็นอย่างไรบ้าง ?
1.ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มีรอบเดือนน้อยกว่า 21 วัน หรือมากกว่า 35 วัน หรือปีหนึ่งมีประจำเดือนไม่ถึง 8 ครั้ง
2.เข้าข่ายภาวะมีบุตรยาก รอบประจำเดือนขาดนานเกิน 90 วัน หรือ 3 รอบ อาจแสดงถึงภาวะไม่ตกไข่เรื้อรัง
3.สิว หน้ามัน ขนดก ในบางรายมักมีสิวขึ้นเยอะมากกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณกรอบหน้า รอบปาก ผิวมันมาก และมักมีขนดก ผมร่วงผมบาง ศีรษะล้าน ซึ่งเป็นอาการแสดงออกของฮอร์โมนเพศชายในร่างกายสูง
4.น้ำหนักมากขึ้น มีภาวะอ้วน ทำให้ดื้อต่ออินซูลิน หรือตรวจพบเบาหวาน
4. ใครมีความเสี่ยงเป็นโรค PCOS ได้บ้าง ?
โรค PCOS มักพบได้ประมาณร้อยละ 5-20 ในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์และพบได้มากขึ้นในผู้หญิงที่มีภาวะอ้วนร่วมด้วย
5.โรค PCOS ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ไหม ?
โรค PCOS ได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัยโดยอาจเกี่ยวข้องกับยีนส์หลายตัว รวมไปถึงสภาพแวดล้อมด้วย
6.จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรค PCOS มีวิธีตรวจหาอย่างไร ?
แพทย์มักวินิจฉัยภาวะ PCOS โดยพิจารณาจากการซักประวัติเพื่อหาความผิดปกติของรอบประจำเดือน ตรวจร่างกายว่ามีอาการแสดงของฮอร์โมนเพศชายสูง เช่น สิว ขนดก ผมบาง รวมถึงภาวะบ่งชี้ว่าร่างกายดื้อต่ออินซูลิน จำพวกรอยดำบริเวณข้อพับ และจะทำการอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อดูลักษณะถุงน้ำหลายใบในรังไข่
นอกจากนี้แพทย์อาจสั่งตรวจเลือด เพื่อดูระดับฮอร์โมนเพศ ระดับน้ำตาลในเลือด รวมถึงตรวจวัดระดับไขมันว่าสูงผิดปกติหรือไม่
7.โรค PCOS อันตรายแค่ไหน ?
หากเป็นโรค PCOS แล้วไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงในการเกิดเยื่อบุมดลูกหนา และมีโอกาสเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกในอนาคต เนื่องจากไม่มีการลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกออก หรือการเป็นประจำเดือนอย่างสม่ำเสมอ อาจทำให้มีภาวะมีบุตรยาก วิตกกังวลและซึมเศร้า อีกทั้งยังมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ เพิ่มโอกาสเกิดเบาหวานชนิดที่ 2 ระดับไขมันสูงผิดปกติ ความดันโลหิตสูงและกลุ่มอาการอ้วนลงพุง อันเป็นความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต
8.เป็น PCOS สามารถตั้งครรภ์ได้หรือไม่ ?
แม้โรค PCOS จะส่งผลต่อการตกไข่ของผู้หญิง ทำให้เกิดภาวะไม่ตกไข่เรื้อรังและมีบุตรยาก แต่อาจสามารถตั้งครรภ์และมีบุตรได้โดยเฉพาะหากได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งนี้ในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำการใช้เทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ เช่น ยากระตุ้นให้ไข่ตก หรือวิธีการปฏิสนธินอกร่างกาย (In vitro fertilization หรือ IVF)
9.วิธีการรักษา PCOS เป็นอย่างไร หายเองได้ไหม ?
การรักษาโดยการไม่ใช้ยา เน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยการควบคุมอาหาร ลดน้ำหนัก และออกกำลังกาย จะช่วยลดความเสี่ยงของกลุ่มอาการทางเมตาบอลิก และมีการตกไข่ที่สม่ำเสมอมากขึ้น
การรักษาโดยการใช้ยา เช่น จำพวกยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ยาเม็ดโปรเจสติน (Progestins) หรือห่วงอนามัยชนิดที่มีฮอร์โมน เพื่อควบคุมรอบประจำเดือนให้มาสม่ำเสมอ รวมถึงใช้ยาเพื่อลดการแสดงออกของฮอร์โมนเพศชาย และรักษาภาวะมีบุตรยาก
โรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS) จัดเป็นโรคเรื้อรัง การแสดงออกและระยะเวลาในการรักษาโรคมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ผู้ป่วยจึงต้องเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง หรือขาดการรักษาต่อเนื่อง เพราะในรายที่เข้ารับการรักษาแล้วยังคงมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้เช่นกัน
10. มีวิธีป้องกันการเกิดโรค PCOS ได้อย่างไรบ้าง ?
การดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หลีกเลี่ยงความเครียด และการรับประทานอาหารที่ดี หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้งและไขมันที่มากเกินไป จะช่วยสร้างสมดุลให้ฮอร์โมน และลดโอกาสการเกิดภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบได้
สุขภาพภายในเป็นสิ่งที่สาวๆ ต้องใส่ใจ ปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติที่หลายคนกำลังเผชิญอาจเป็นปัญหาใหญ่กว่าที่คิด แม้ปัจจุบันโรค PCOS ยังไม่มีวิธีป้องกันโรคที่แน่ชัด และไม่ถูกระบุว่าเป็นโรคที่ควรคัดกรองทุกปี แต่หากพบความผิดปกติที่คล้ายกับอาการ PCOS หรือถุงน้ำรังไข่หลายใบตามที่ได้กล่าวถึงข้างต้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย ประเมินความเสี่ยง และวางแนวทางรักษาที่เหมาะสมต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก :โรงพยาบาลวิมุต
https://www.vimut.com/article/Polycystic-ovary-syndrome