กันยายน เดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง รู้ทันรักษาหายได้

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ภัยเงียบที่คอยคืบคลาน แพร่กระจายอย่างช้า ๆ ไม่รุนแรงแต่เรื้อรังและเสี่ยงเสียชีวิต แต่หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที มีโอกาสหายสูง


นายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งที่เกิดจากเม็ดเลือดขาว “ลิมโฟไซต์” ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันเชื้อโรคและสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเมื่อเซลล์เหล่านี้แบ่งตัวผิดปกติหรือควบคุมไม่ได้ จึงก่อให้เกิดมะเร็งใน “ต่อมน้ำเหลือง” หรืออวัยวะต่าง ๆ ที่มีน้ำเหลืองไหลเวียน เช่น ม้าม ตับ ไขกระดูก และสมองหรือน้ำไขสันหลัง ชนิดของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ได้แก่ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin lymphoma) ผู้ป่วยมักจะมีต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณคอและช่องอก ให้การรักษาโดยการใช้ยาเคมีบำบัดร่วมกับการฉายแสง โอกาสหายขาดสูง และอีกชนิดคือมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin lymphoma) พบได้มากกว่า และแบ่งย่อยออกได้อีกประมาณ 30 ชนิด ซึ่งจะแบ่งตามลักษณะการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้เป็น 2 แบบคือ ชนิดโตช้าและชนิดโตเร็ว โดยชนิดโตช้า การแบ่งตัวและแพร่กระจายค่อนข้างช้า ไม่รุนแรงแต่เรื้อรัง จึงรักษาเมื่อมีข้อบ่งชี้ ส่วนชนิดโตเร็วต้องได้รับการรักษาทันที หากไม่รักษาผู้ป่วย อาจเสียชีวิตใน 6 เดือน ถึง 1 ปี แต่ถ้าได้รับการรักษาทันท่วงที มีโอกาสหายขาดจากโรคได้มาก แม้จะอยู่ในระยะไหนก็ตาม


เรืออากาศเอกนายแพทย์สมชาย ธนะสิทธิชัย ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่พบว่ามีความเกี่ยวข้อง ได้แก่ การสัมผัสสารเคมีบางชนิดโดยตรง เช่น ยากำจัดศัตรูพืช น้ำยาย้อมผม หรือสารเคมีในอุตสาหกรรมบางประเภท การมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS ผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะและต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกัน โรคภูมิคุ้มกันตนเอง (โรค SLE) ติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น HIV, EBV, ไวรัสตับอักเสบซี การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น Helicobacter pylori และได้รับรังสีปริมาณที่มากเกินไป มะเร็งต่อมน้ำเหลืองมักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่มีสัญญาณเตือนที่ควรใส่ใจ ได้แก่ มีก้อนต่อมน้ำเหลืองโต ที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบ ไม่เจ็บและไม่ยุบหาย ซึ่งต่างจากการติดเชื้อที่มักจะมีอาการเจ็บที่ก้อน มีไข้เรื้อรังมากกว่า 2 สัปดาห์ โดยหาสาเหตุไม่ได้ มีเหงื่อออกมากผิดปกติ โดยเฉพาะตอนกลางคืน น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ มีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง นอกจากนี้ อาการเฉพาะที่ที่เกิดจากต่อมน้ำเหลืองโตในบริเวณนั้น ๆ เช่น แน่นหน้าอก หายใจลำบาก ปวดแน่นท้อง ท้องอืด


แพทย์หญิงชนิกา มหาธำรงชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอายุรศาสตร์โรคเลือด สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การวินิจฉัย สามารถทำได้โดยการตัดชิ้นเนื้อ เพื่อนำไปตรวจทางพยาธิวิทยา ในกรณีผู้ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดโตช้าหรือไม่รุนแรง สามารถเฝ้าติดตามอาการด้วยการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด หรือตรวจทางรังสีเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสม โดยยังไม่จำเป็นต้องได้รับยาเคมีบำบัด การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองด้วยการให้ยาเคมีบำบัด ยาจะออกฤทธิ์ไปทำลายเซลล์มะเร็ง โดยไปรบกวนการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง อาจรักษาร่วมกับยามุ่งเป้า ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่มีฤทธิ์ในการจับกับโปรตีนบนผิวของเซลล์มะเร็ง หลังจากนั้นจะมีการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเพื่อมากำจัดเซลล์มะเร็ง ซึ่งช่วยในการทำลายเซลล์มะเร็งได้ในบริเวณกว้าง และส่งผลกระทบเพียงน้อยนิดต่อเนื้อเยื่อปกติ การฉายรังสี คือการรักษาด้วยรังสีปริมาณสูง เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดหรือการปลูกถ่ายไขกระดูก แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ การปลูกถ่ายโดยอาศัยเซลล์ของผู้บริจาคทั้งจากญาติพี่น้องหรือผู้บริจาคที่เข้ากันได้ หรือการปลูกถ่ายโดยอาศัยเซลล์ของผู้ป่วยเอง นอกจากนี้ การรักษาแบบใหม่สำหรับโรคที่กลับมาเป็นซ้ำด้วยการใช้เซลล์บำบัด (CAR-T cell) ซึ่งยังอยู่ในช่วงการศึกษาวิจัยในประเทศไทย


การป้องกันของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หมั่นสังเกตตัวเอง ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หากพบอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์ หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีโดยตรง รับประทานอาหารสุก สะอาด หากท่านมีข้อสงสัย สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติผ่านทาง Facebook : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ National Cancer Institute และ NCI รู้สู้มะเร็ง



18 กันยายน 2568