10 เรื่องลดความอ้วนที่คนเข้าใจผิดมากที่สุด

การเริ่มต้นดูแลตัวเองอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย มีความเชื่อมากมายที่บอกเล่ากันปากต่อปากหรือในอินเทอร์เนตที่ฟังดูดี น่าเชื่อถือ แต่กลับไม่เป็นความจริง มาดูกันว่าอะไรคือ 10 ความเข้าใจผิดที่เจอบ่อย ๆ เราจะมาเคลียร์ให้คุณทราบถึงข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง คุณจะได้เริ่มต้นการดูแลตัวเองโดยไม่หลงทาง และได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วยิ่งขึ้น
1. เมื่อคุณหยุดออกกำลังกาย กล้ามเนื้อจะกลายเป็นไขมัน
ความจริง: เซลล์กล้ามเนื้อเป็นเซลล์ที่ต้องการพลังงานตลอดเวลา มันจึงเป็นสิ่งที่ร่างกายของเราไม่ชอบครับ ร่างกายของเราจะทำให้มันโตเพียงพอแค่กับที่เราใช้งานมันเท่านั้น ถ้าคุณยกดัมเบล 10 กิโล มันก็จะเติบโตเพียงแค่ให้รองรับกับน้ำหนัก 10 กิโล และเมื่อคุณหยุดใช้งานมัน ร่างกายก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องรักษากล้ามเนื้อนี้ไว้ กล้ามเนื้อนั้นก็จะเล็กลง เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานน้อยลง จึงส่งผลให้ปริมาณแคลอรีที่คุณควรได้รับต่อวันน้อยลงด้วย แต่อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ถึงแม้จะหยุดออกกำลังกายไปแล้ว แต่ความอยากอาหารจะยังคงเท่าเดิม ดังนั้น แคลอรีที่เคยพอดีก็กลายเป็นส่วนเกินเก็บสะสมเป็นไขมัน จึงทำให้เราอ้วนขึ้นโดยไม่รู้ตัว
สรุป เซลล์กล้ามเนื้อกับเซลล์ไขมันเป็นคนละชนิดกัน ไม่สามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ เมื่อหยุดออกกำลังกาย เซลล์กล้ามเนื้อจะลีบลงทำให้เมตาบอลิซึมของร่างกายลดลง ดังนั้น ถ้าคุณลดการกินลงให้พอดีกัน ก็จะไม่อ้วนอย่างแน่นอน
2. อาหารหรือเครื่องดื่มที่มี ไขมัน 0% ไม่ทำให้อ้วน
ความจริง: ในโลกนี้มีสารอาหารที่ให้พลังงานหลักอยู่ 3 ชนิด คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน การบริโภคสารอาหารทั้ง 3 มากเกินกว่าที่ร่างกายนำไปเผาผลาญได้ จะถูกเก็บสะสมเป็นไขมันทั้งหมด ดังนั้น ถึงแม้ขนมที่เขียนติดไว้ว่า ไขมัน 0% ถ้ามันยังมีน้ำตาลอยู่ก็ทำให้อ้วนได้ครับ ดังนั้น ให้สังเกตจากแคลอรีรวมที่ฉลากข้างหลังกล่องเป็นหลักว่าแคลอรีมากน้อยเท่าไร (เดี๋ยวนี้การตลาดเค้าบิ้วเก่งมาก ๆ เราจะต้องหยุดไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนจะตัดสินใจซื้อนะครับ)

3. ซิทอัพ ช่วยลดพุงและสร้าง ซิกแพค
ความจริง: มีคำกล่าวของฝรั่งว่า “abs are made in the kitchen” หรือ “กล้ามท้องอันสวยงามสร้างจากห้องครัว” ต่อให้เราเล่นกล้ามท้องหนักเท่าไรก็ตาม แต่ถ้าไม่ควบคุมอาหาร ยังไงก็ไม่มีทางที่พุงจะยุบแน่นอนครับ การเล่นกล้ามท้อง ช่วยสร้างกล้ามเนื้อภายในก็จริง แต่มันถูกครอบไว้ด้วยชั้นไขมัน เราจึงต้องทำให้ชั้นไขมันหายไปก่อนจึงจะเห็นกล้ามเนื้อที่ซ่อนอยู่ได้ (โดยปกติคนทั่วไปผู้ชายจะต้องมี Body Fat น้อยกว่า 12% และผู้หญิงน้อยกว่า 20% ถึงจะเริ่มเห็นกล้ามหน้าท้อง) ดังนั้น การทำให้ไขมันหายไป และเห็นกล้ามท้องที่ชัดเจน จึงต้องใช้การควบคุมอาหาร บวกกับการทำคาร์ดิโอ เป็นหลัก
4. ทำคาร์ดิโอในช่วง Fat-Burning Zone เผาผลาญไขมันได้ดีที่สุด
ความจริง: Fat-Burning Zone ที่เราเห็นเป็นกราฟแปะอยู่บนเครื่องวิ่งไฟฟ้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงช่วงการเต้นของหัวใจที่ประมาณ 60-70% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด เป็นช่วงที่ร่างกายใช้ไขมันเป็นเปอร์เซ็นต์ส่วนมากในการเผาผลาญพลังงาน อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้หมายถึงจำนวนแคลอรีสุทธิทั้งหมดที่ใช้ไป
ความเป็นจริงนั้นคุณสามารถเบิร์นแคลอรีโดยรวมได้มากกว่าด้วยการฝึกแบบหนักสลับเบา (วิ่งเร็วเต็มสปีด 1 นาที วิ่งช้า 1 นาที สลับกันไป) หรือการฝึกแบบ HIIT เพราะการฝึกพวกนี้จะช่วยให้ร่างกายมีเมตาบอลิซึมที่สูงต่อเนื่องไปแม้จะออกกำลังกายเสร็จแล้ว โดยรวมทั้งหมดร่างกายจึงใช้แคลอรีไปมากกว่า
อย่างไรก็ตาม อาจจะเป็นการหนักเกินไปที่จะฝึก HIIT ทุกวัน ดังนั้น ในวันที่อยากสบาย ๆ การทำคาร์ดิโอในช่วง Fat-Burning Zone ก็เป็นตัวเลือกที่ดี
5. ผู้หญิงไม่ควรเล่นเวท เพราะจะทำให้กล้ามใหญ่

ความจริง: หนึ่งในตัวแปรที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการบวม (Hypertrophy) คือ ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนที่มีมากในเพศชาย ฮอร์โมนตัวนี้เป็นตัวทำให้เกิดการเติบโตของกล้ามเนื้อ นั่นหมายความว่า ถึงแม้ผู้หญิงจะยกน้ำหนักเท่าผู้ชาย แต่กล้ามเนื้อก็จะไม่โตเท่าผู้ชายอยู่ดี (ผู้หญิงที่เป็นนักเพาะกายตัวใหญ่เพราะเขามียีนที่ไม่เหมือนคนทั่วไป และยังอาจจะต้องกินฮอร์โมนเพศชายเข้าช่วยเพิ่มไปอีกด้วย)
6. ถ้าอยากจะลดความอ้วน ทำคาร์ดิโอจนได้น้ำหนักที่คุณต้องการ แล้วค่อยเริ่มเล่นเวทก็ได้
ความจริง: การทำคาร์ดิโอโดยไม่เล่นเวทเทรนนิ่งเลย ร่างกายมีแนวโน้มที่จะสลายกล้ามเนื้อเพื่อมาแปลงเป็นพลังงาน ทำให้คุณสูญเสียมวลกล้ามเนื้อไปได้ง่าย ๆ ดังนั้น เพื่อให้ร่างกายรับรู้ว่าเราต้องการกล้ามเนื้ออยู่ เราจำเป็นจะต้องเล่นเวทเทรนนิ่งหรือออกกำลังกายที่มีแรงต้าน แถมข้อดีอีกอย่าง คือ กล้ามเนื้อที่เพิ่มมากขึ้นจะช่วยเพิ่มอัตราเผาผลาญพลังงานของร่างกายให้สูงอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าการเล่นเวทจะไม่เบิร์นแคลอรีมากนักในขณะเล่น แต่เมื่อคิดถึงแคลอรีรวมทั้งหมดที่มันเบิร์นขณะพักทั้งวันด้วยแล้ว มันจะยิ่งช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้มากขึ้นเสียด้วยซ้ำไป


7. การกินผลไม้ทุกชนิดดีต่อสุขภาพ
ความจริง: ผลไม้บางชนิดมีแคลอรีสูงเพราะเต็มไปด้วยน้ำตาล แน่นอนว่ามันดีกว่าขนมเค้กหวาน ๆ หลายเท่าเพราะมีวิตามิน แต่ถ้าคุณต้องการลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ การกินมะม่วง ลำไย ทุเรียน หรือผลไม้ที่มีรสหวานอาจยิ่งเพิ่มความอ้วนเข้าไปใหญ่ ถ้าต้องการจะกินเพื่อให้อิ่มท้องควรจะทานพวกผักใบเขียว แครอท บล็อคโคลี หรือผลไม้ที่ไม่หวานและมีกากใยอยู่เป็นจำนวนมากอย่าง แก้วมังกร แตงโม สตรอเบอร์รี่ จะดีกว่า


 


8. เราสามารถลดไขมันเฉพาะส่วนได้
ความจริง: การบังคับให้ร่างกายลดไขมันเฉพาะส่วนที่เราต้องการนั้นเป็นไปไม่ได้ ไขมันไม่เหมือนกล้ามเนื้อที่เราเล่นตรงไหนก็จะโตตรงนั้น ไขมันเป็นเสมือนแผ่นผ้าใหญ่ ๆ ที่คลุมร่างกาย เราไม่สามารถบังคับได้ว่าจะให้นำส่วนไหนมาใช้ก่อน พันธุกรรมของแต่ละคนจะเป็นตัวกำหนดเองว่ามันชอบที่จะใช้ไขมันส่วนไหนมาเบิร์นก่อนเพื่อน การลดต้นขา การลดพุง การลดต้นแขน ก็ต้องทำเหมือนกัน คือ ควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย ไขมันจะค่อย ๆ หายไปทั่วทั้งร่างกายเอง (การลดไขมันเฉพาะจุดมีวิธีเดียว คือ ไปดูดไขมันออกที่คลินิก)
9. กล้ามเนื้อที่ชัดเจนมาจากการยกน้ำหนักเบาแต่หลาย ๆ ครั้ง
ความจริง: กล้ามเนื้อที่ชัดมาจากการที่เรามีกล้ามเนื้อและมีชั้นไขมันที่บางมาก ถ้าคุณฝึกด้วยน้ำหนักที่เบาตลอดเวลาเพราะไม่ต้องการให้กล้ามใหญ่ คุณจะไม่มีทางสร้างกล้ามเนื้อได้ การสร้างกล้ามเนื้อให้ชัดเจนจริง ๆ แล้วจะต้องมาจากการเล่นเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ (8-12 ครั้ง หนักเท่าที่จะทำได้) รวมกับการทำยังไงก็ได้ให้เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายต่ำมาก ๆ (ค่าประมาณ ผู้ชาย < 12% , ผู้หญิง < 20%) ซึ่งหลัก ๆ ก็คือ การควบคุมอาหารนั่นเอง


 

10. ยิ่งเหงื่อออกมายิ่งลดไขมันได้มาก
ความจริง: เหงื่อไม่เกี่ยวกับไขมันที่เบิร์นออกไปเลย เหงื่อเป็นสิ่งที่ร่างกายของเราใช้ขับความร้อนเท่านั้น การสังเคราะห์ไขมันเป็นพลังงานเกิดภายในร่างกาย ไม่เกี่ยวกัน ดังนั้น การอบซาวน่า การใส่เสื้อกันหนาววิ่งเพื่อให้เหงื่อออกมาก ๆ ไม่ทำให้ไขมันลดได้มากขึ้น (อาจจะเห็นว่าน้ำหนักลดลง เพราะเป็นน้ำหนักของน้ำที่สูญเสียออกจากร่างกายในรูปของเหงื่อ เมื่อดื่มน้ำกลับเข้าไปก็จะน้ำหนักเท่าเดิม)
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : http://doodeedai.com/content/50/most-dangerous-fat
https://hpc.go.th/diet/?module=10_fat