“โปรแกรม ACT”ทางเลือกการบำบัดแก่เยาวชน ด้วยกระบวนคิด-เทคนิควิจัย : กับการต่อสู้ในเทรนด์ใหม่ของยาเสพติด

หน่วยงานสื่อสาร สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

หากพูดถึง “ยาเสพติด” กลุ่มที่มีความเสี่ยงกลุ่มแรกๆที่เรามักจะนึกถึงคือกลุ่ม “วัยรุ่นหรือเยาวชน” ซึ่งเป็นเพราะอะไร และทำไมปัญหายาเสพติดจึงยังคงอยู่กับสังคมไทยตลอดมา


          จากข้อมูลของผู้เข้ารับการบำบัดยาเสพติดของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ในรอบปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่พบว่า ผู้บำบัดอยู่ในช่วงอายุ 15-24 ปีรองลงมาเป็นช่วง 25-29 ปี และ 30-34 ปี ตามลำดับโดยยาบ้าและสารเสพติดกลุ่มแอมเฟตามีนยังคงเป็นยาเสพติดที่กลุ่มวัยรุ่นนิยมใช้ อาจด้วยราคาซึ่งไม่แพง ตามมาด้วย “ยาไอซ์” ที่ได้รับความนิยมไม่ต่างกัน ด้วยเพราะมีความบริสุทธิ์สูงราว 95% ทำให้ออกฤทธิ์เร็วและรุนแรงกว่าขณะที่พฤติกรรมการใช้ยาเสพติดมักอยู่ในรูปแบบผสมผสาน โดยทดลองผสมยาเสพติดเองและเปลี่ยนสูตรไปเรื่อยๆ อย่างที่พบในกรณีของเคนมผงหรือพืช “กระท่อม” ที่คุ้นเคยกันในชื่อสูตรสี่คูณร้อย ซึ่งเป็นที่นิยมของวัยรุ่นทางภาคใต้โดยสิ่งที่น่ากังวลไปกว่านั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการพบว่า มีการจับกุมการซื้อขายยาเสพติดทางออนไลน์ โดยใช้คริปโตเคอร์เรนซีหรือสกุลเงินดิจิทัลในการซื้อขาย โดยเกิดขึ้นแล้วในประเทศไทยซึ่งนับว่าเป็นอุปสรรคที่ทำให้การควบคุมป้องกันยาเสพติดในเยาวชนทำได้ยากมากขึ้นไปอีก1


          สอดคล้องกับข้อมูลจากสถาบันวิจัยสังคมและวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2562 จากการสำรวจพื้นที่ภาคกลาง ครอบคลุมถึงภาคตะวันออกพบว่า มีผู้เข้ารับการบำบัดรักษายาเสพติดรายใหม่ ตั้งแต่ปี 2559-2562 คือ 9,905 ราย, 12,153 ราย, 14,879 ราย, และ 8,755 ราย ตามลำดับและผู้เข้ารับการบำบัดส่วนใหญ่ ร้อยละ 53.6 เป็นกลุ่มเยาวชนอายุ 18-24 ปี โดยเป็นการบำบัดรักษาจากการใช้ยาบ้ามากที่สุด ถึงร้อยละ 67.9 นอกจากนี้ยังพบว่า พื้นที่ภาคตะวันออก มีการนำเข้ายาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน มีการขายและแพร่ระบาดในพื้นที่ชุมชนเมือง พื้นที่ท่องเที่ยว และพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม รวมถึงในพื้นที่มีคนอพยพโยกย้ายจากต่างถิ่นมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากและมีความสลับซับซ้อนทางสังคมทำให้ปัญหายาเสพติดกลายเป็นปัญหาสำคัญในพื้นที่


          ทั้งนี้ตัวอย่างการแก้ปัญหายาเสพติดในต่างประเทศที่น่าสนใจอย่างเช่นในประเทศไอซ์แลนด์มีการจัดการปัญหาแอลกอฮอล์และการใช้ยาเสพติดซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในกลุ่มวัยรุ่นในช่วงทศวรรษที่ 1980-1990 โดยไอซ์แลนด์เคยพบว่า 42% ของเยาวชนอายุ 15-16 ปี มีการดื่มสุราและใช้ยาเสพติด ส่งผลให้ช่วงนั้นกรุงเรคยาวิก กลายเป็นเมืองที่มีปัญหาดังกล่าวรุนแรงที่สุดในยุโรปแต่ในปัจจุบันได้ลดลงเหลือเพียง 5% จาก“5 มาตรการ ปฏิวัติวัยรุ่น” ที่ไอซ์แลนด์นำมาปรับใช้ได้แก่ 1)การกำหนดเคอร์ฟิว สำหรับวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 16 ปีที่ต้องกลับเข้าบ้านภายในเวลา 22.00 น. โดยในบางพื้นที่จะมีกลุ่มผู้ปกครองออกตรวจตราเยาวชนที่อาจออกไปมั่วสุมนอกบ้านในยามวิกาล 2)ให้ผู้ปกครองลงนามในสัญญเพื่อกำหนดกฎ/เงื่อนไขการควบคุมพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของบุตรหลานหรือสนับสนุนให้พวกเขาใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น 3)ให้วัยรุ่นใช้เวลาว่างอย่างเป็นประโยชน์โดยเยาวชนไอซ์แลนด์ จะได้รับบัตรกำนัลมูลค่า 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 16,500 บาท) ทุกปี เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมหลังเลิกเรียน เช่น กีฬาอย่างฟุตบอล วอลเลย์บอล และว่ายน้ำ 4)ใช้หลักวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ลดปัญหาเหล้า-ยาโดยทุกปีโครงการ Youth in Iceland จะทำการสำรวจวัยรุ่น เพื่อใช้ตรวจวัดการใช้ชีวิตของวัยรุ่นจากแง่มุมต่างๆ เช่น ความสัมพันธ์กับเพื่อนและครอบครัว ความรู้สึก รวมถึงการใช้สารเสพติด โดยข้อมูลที่ได้จากแบบสำรวจดังกล่าวถือเป็นกุญแจสำคัญในการวางแผนดำเนินการเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับเด็กๆ รวมถึงลดการใช้สารเสพติดในกลุ่มเยาวชนและ 5)ให้นักการเมืองเข้ามามีส่วนร่วม2


          ในด้านของประเทศไทยมีความพยายามในการแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างหลากหลายและจริงจัง เพื่อต่อสู้กับยาเสพติดที่รุกเข้ามาในหลายรูปแบบอย่างที่ไม่มีอะไรสามารถปิดกั้นได้ทั้งนี้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่าน เวทีการแลกเปลี่ยนความคิดความเห็นของกลุ่มนักวิชาการและภาคีเครือข่ายได้เกิดขึ้นเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดรูปแบบใหม่ ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจเปลี่ยนไปจากวิธีการดั้งเดิมที่พยายามปิดกั้นช่องทางยับยั้งการเพิ่มจำนวน หยุดการแพร่กระจายหรือการขยายเครือข่ายของยาเสพติด ซึ่งจัดเป็นความพยายามจัดการกับปัจจัยภายนอกของกลุ่มเสี่ยงแตกต่างจากการทำงานครั้งนี้
            ที่เป็นการแก้ปัญหาจากกระบวนการภายในของผู้ติดยาเสพติดหรือกลุ่มเสี่ยงโดยตรงโดยเป็นกระบวนการทำงานบนฐานงานวิจัย “ประสิทธิผลของโปรแกรมกลุ่มบำบัดแบบการยอมรับและสร้างพันธะสัญญาต่อเยาวชนที่ใช้สารเสพติดซึ่งจัดขึ้นโดย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ร่วมกับ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพาที่มีการนำเสนอเกี่ยวกับ โปรแกรมการบำบัดแบบการยอมรับและสร้างพันธะสัญญา (Acceptance Commitment Therapyหรือ ACT) ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างกระบวนการฝึกสติ การยอมรับ การสร้างพันธะสัญญา และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ที่ไม่ใช่แค่ลดอาการความผิดปกติ แต่ช่วยให้ผู้รับการบำบัดมีชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมายมากขึ้น

          ผศ.ดร.จิณห์จุฑา ชัยเสนา ดาลลาสเครือข่ายนักวิจัย สวรส. สังกัดคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้อธิบายถึงโปรแกรมการบำบัดแบบการยอมรับและสร้างพันธะสัญญา หรือโปรแกรม ACT นี้ ที่มีการลงมือทำผ่านกิจกรรมต่างๆ 8 กิจกรรมใน 4 สัปดาห์โดยกิจกรรมต่างๆเป็นการสร้างความยืดหยุ่นในชีวิตและความตั้งใจในการเลิกสารเสพติด และเป็นโปรแกรมที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางใจ บนแนวคิดการอยู่กับปัจจุบันขณะ การเปิดใจยอมรับ การปลดปล่อยความคิดยึดติด รับรู้ถึงตัวตนที่สังเกตเห็นหรือรู้ทันการเปลี่ยนแปลง รับรู้คุณค่าในตัวเองและใช้คุณค่านำการกระทำสู่เป้าหมายชีวิตแบบมีพันธะสัญญากับตนเอง


          ซึ่งโปรแกรม ACT เป็นทางเลือกในการบำบัดรักษาที่ช่วยให้เกิดการสร้างวิธีคิดวิธีมองชีวิตแบบใหม่ให้กับเยาวชน เพื่อให้เกิดการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้มแข็งในจิตใจ และเพิ่มความพร้อมในการออกไปใช้ชีวิตในสังคม โดยหลังจากการใช้โปรแกรม ACT กับเยาวชนที่เข้ารับการบำบัดสารเสพติดในโรงเรียนวิวัฒน์พลเมือง เขตพื้นที่ภาคตะวันออก พบว่า ความตั้งใจในการเลิกสารเสพติดและความยืดหยุ่นในชีวิตของกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมต่างกันอย่างชัดเจน โดยกลุ่มทดลองมีความตั้งใจในการเลิกสารเสพติดและความยืดหยุ่นในชีวิตสูงขึ้นภายหลังการทดลอง ในขณะที่กลุ่มควบคุมลดลง ในขณะที่จากผลการวิจัยเชิงปริมาณจากโครงการวิจัยนี้ พบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจเลิกสารเสพติดคือ ความยืดหยุ่นในชีวิต ความผูกพันใกล้ชิดกับเพื่อน และความภาคภูมิใจในตนเอง


          ทั้งนี้ในการนำโปรแกรม ACT ไปใช้จริงในพื้นที่ พบว่า“โปรแกรม ACT เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถนำมาต่อยอดกับหลักสูตรอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกิจกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ซึ่งจะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่มีการจดจำได้ดี” เรือเอก ศรวิษฐ์ บุญประชุม โรงเรียนวิวัฒน์พลเมือง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรีได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ไว้ขณะที่ พว.ปทุมรัตน์ เกตุเล็ก พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นผู้บำบัดการใช้สารเสพติด ให้ความเห็นเสริมว่า “โปรแกรม ACT ช่วยสนับสนุนให้ผู้เข้ารับการบำบัดสามารถแก้ปัญหา พึ่งพาตนเองได้ สู้กับวิกฤตอย่างมีความพร้อมมากขึ้น มีความยืดหยุ่นในชีวิตมากขึ้น เปิดใจยอมรับ และมีมุมมองความคิดที่เปลี่ยนไป มีการตั้งเป้าหมายในชีวิต ทำให้มีความกระตือรือร้นที่จะมาบำบัดมากขึ้น และรับผิดชอบต่อพันธะสัญญาที่ให้ไว้กับผู้บำบัดอย่างจริงจัง”

          ทพ.จเร วิชาไทย ผู้จัดการ สวรส.ให้ความเห็นต่อประเด็นงานวิจัยว่า“การแก้ปัญหาไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม จำเป็นต้องเข้าใจลักษณะของกลุ่มเป้าหมายในมิติต่างๆ ให้มากที่สุด เช่น กลุ่มเยาวชนหรือวัยรุ่นเรามักจะพบว่าเป็นกลุ่มที่ขาดการยับยั้งชั่งใจ โดยการตัดสินใจส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากอารมณ์มากกว่าเหตุผล ซึ่งหากมองในด้านกายภาพสมองส่วนหน้าของวัยรุ่นซึ่งเป็นส่วนควบคุมและประมวลความคิดเชิงระบบหรือการคิดเชิงตรรกะยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ โดยจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่ออายุ 20-25 ปี แต่ขณะที่สมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับอารมณ์ พฤติกรรมจะพัฒนาเร็วกว่า ดังนั้นวัยรุ่นจึงมีความต้องการมากจากสิ่งเร้าต่างๆ ทั้งความต้องการทางเพศ การเสพติดอะไรบางอย่าง และมีความต้องการการยอมรับจากเพื่อน ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจตกไปอยู่ในวงจรของยาเสพติดได้ง่าย นอกจากนี้ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการใช้สารเสพติดของเยาวชน เช่น ปัญหาการดูแลและความรุนแรงในครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนและคนในชุมชน เช่น กรณีการถูกกลั่นแกล้งจากคำพูด หรือพฤติกรรมที่ก้าวร้าว (Bully) อาจส่งผลให้เยาวชนที่ถูกกระทำ มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ ทั้งนี้เยาวชนอายุ 12-17 ปี มักเริ่มต้นด้วยการดื่มแอลกอฮอล์ และอายุ 18-25 ปี จะมีทั้งดื่มแอลกอฮอล์และติดยาเสพติด ดังนั้นกรอบทิศทางการวิจัยเพื่อดูแลและช่วยเหลือเยาวชนที่ใช้สารเสพติดให้กลับสู่สังคม จำเป็นต้องพัฒนาความรู้เพื่อส่งต่อไปให้ถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและมาตรการต่างๆ ในระดับพื้นที่ และควรมีการพัฒนาระบบการดูแลและบำบัดรักษาที่กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงบริการได้ ทั้งในเรื่องของสุขภาพ จิตใจ และสังคม โดยควรมีการจัดบริการทั้งในโรงเรียนและชุมชน หรืออาจมีการพัฒนาแอปพลิเคชันมาเป็นตัวช่วยในการให้บริการ เนื่องจากกลุ่มเยาวชนมีพฤติกรรมการใช้มือถืออย่างชัดเจน ตลอดจนควรเน้นการทำงานซึ่งรวมถึงทิศทางการจัดสรรงบประมาณให้กับกลุ่มวัยรุ่นตอนต้นและตอนกลาง เพื่อเป็นการป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหาต่างๆ นอกจากนี้ควรมีการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการจัดการเชิงระบบ เช่น การพัฒนาระบบข้อมูลทั้งด้านการส่งเสริม ป้องกัน รักษา ฟื้นฟู การมีหน่วยงานกลางเพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการ ประสาน และเชื่อมต่อ การพัฒนาโปรแกรมและติดตามข้อมูลทางระบาดวิทยา ฯลฯ และทั้งหมดควรเป็นการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อให้เกิดเครือข่ายทางด้านวิชาการ และเกิดงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง

          นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวในช่วงท้ายของการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ว่า“แม้ว่าปัญหาต่างๆจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์และลักษณะของสังคม แต่สำหรับปัญหายาเสพติดยังคงเป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วนของทุกรัฐบาลที่หน่วยงานด้านวิชาการมีหน้าที่ต้องพัฒนาองค์ความรู้เพื่อสนับสนุนนโยบายให้เกิดการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งนี้การวิจัยเพื่อพัฒนาเยาวชนกลุ่มเปราะบางของสวรส. เป็นการดำเนินงานที่ตอบสนองนโยบายประเทศและยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมซึ่งเป็นโจทย์ท้าทายของสังคมปัจจุบันที่ต้องเร่งพัฒนาให้เกิดทั้งสังคมสูงวัย สังคมคุณภาพและความมั่นคง การปฏิรูปด้านสาธารณสุขรวมถึงการปฏิรูประบบสุขภาพของกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาส ซึ่งเยาวชนส่วนหนึ่งเข้าข่ายเป็นกลุ่มเปราะบางที่ตกอยู่ในวงจรขาดความรู้
ขาดโอกาส และมีความเจ็บป่วยส่งผลให้สังคมขาดพลังของเยาวชนในการพัฒนาประเทศซึ่งสวรส.เองจะมุ่งสร้างงานวิจัยควบคู่ไปกับการสร้างนักวิจัย เครือข่ายเชื่อมโยงคนทำงานและหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อให้เกิดโอกาสของการนำความรู้จากงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้จริง และส่งผลให้สังคมมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น


ข้อมูลจาก:


-   โครงการวิจัยประสิทธิผลของโปรแกรมกลุ่มบำบัดแบบการยอมรับและสร้างพันธะสัญญาต่อเยาวชนที่ใช้สารเสพติด


-   โปรแกรมกลุ่มบำบัดแบบการยอมรับและสร้างพันธะสัญญา เพื่อบ่มเพาะความยืดหยุ่นในชีวิตและความตั้งใจในการเลิกสารเสพติด สำหรับเยาวชนที่ใช้สารเสพติด


-   เสวนาหัวข้อ “บทบาทนักวิชาการและภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ด้วยโปรแกรมกลุ่มบำบัดแบบ ACT สำหรับเยาวชนในพื้นที่ภาคตะวันออก”(22 ก.ย. 2564)


-   1:สมิตานัน หยงสตาร์, “เปิดเทรนด์ยาเสพติดวัยรุ่นไทย-ตลาดยาเริ่มค้าผ่านสกุลเงินดิจิทัล”, 5 มีนาคม 2021,https://www.bbc.com/thai/thailand-56289278


-   2:5 วิธี ไอซ์แลนด์แก้ปัญหาเหล้า-ยา ในวัยรุ่น”,21 พฤศจิกายน 2017, https://www.bbc.com/thai/international-42065324