“ศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพ รพ.ตราด” หนุนนโยบายผู้ป่วยมะเร็งรักษาได้ทุกที่

โครงการ Cancer Anywhereหรือ ผู้ป่วยมะเร็งรักษาได้ทุกที่...ที่พร้อม เป็นนโยบายที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีแนวคิดยกระดับบริการให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้รวดเร็วขึ้น เมื่อเข้าถึงการรักษาเร็วขึ้นก็จะสามารถรักษาได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น ลดอาการแทรกซ้อนและอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยลงได้


การจะขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งฝั่งผู้ให้บริการที่ต้องปรับระบบการตรวจวินิจฉัยและส่งต่อ ฝั่งผู้ซื้อบริการอย่างสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ต้องปรับระบบการจ่ายเงินชดเชยค่าบริการเพื่อเอื้อให้เกิดบริการ และฝั่งผู้รับบริการที่ต้องเข้าใจในระบบบริการการเชื่อมโยงทั้ง 3 ส่วนเข้าด้วยกัน ในพื้นที่บริการ “ศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพในหน่วยบริการ” หนึ่งในกลไกสำคัญภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่เปรียบเสมือนศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ประจำอยู่ในโรงพยาบาล นอกจากทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ป่วยและโรงพยาบาล ให้ข้อมูลแนะนำเรื่องสิทธิ ตลอดจนรับคำร้องเรียนและแก้ไขปัญหาให้กับผู้ป่วยแล้ว ยังคอยทำงานขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ อยู่หลังบ้าน

นางอันธิกา คะระวานิช รองผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลตราด และอนุกรรมการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการสร้างหลักประกันสุขภาพของทุกภาคส่วนในฐานะผู้รับผิดชอบดูแลศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพของโรงพยาบาลตราด ซึ่งสร้างผลงานจนได้รับรางวัลศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพและการบริหารจัดการความขัดแย้งในหน่วยบริการดีเด่นระดับประเทศ ตลอดจนเป็นกรรมการคัดเลือกศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพฯ ดีเด่นระดับประเทศในปีต่อๆมา ได้ให้ความเห็นถึงบทบาทของศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพในหน่วยบริการ ในการขับเคลื่อนนโยบาย Cancer Anywhere ว่า งานของศูนย์หลักประกันสุขภาพฯไม่ใช่การจัดบริการ แต่ทำหน้าที่เพื่อสร้างการรับรู้สิทธิและดูแลการเข้าถึงบริการที่เป็นการคุ้มครองผู้ป่วย ตลอดจนการวางระบบประกันคุณภาพบริการให้กับประชาชนงานเหล่านี้ไม่ได้ทำเฉพาะแค่ฝั่งประชาชนเท่านั้น แต่ต้องทำให้หน่วยบริการ บุคลากรในหน่วยบริการรับรู้ด้วยว่าถ้าจะทำให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจการใช้สิทธิ หน่วยบริการเองต้องทำอย่างไร


ทีนี้เมื่อโฟกัสที่ Cancer Anywhere นางอันธิกา กล่าวว่า เดิมทีการรักษามะเร็ง เป็นบริการที่มีแต่เดิมอยู่แล้วเพียงนโยบายนี้ได้มุ่งยกระดับบริการให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งเข้าถึงบริการได้เร็วขึ้น เพื่อลดอาการแทรกซ้อนและการเสียชีวิต รวมถึงเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดในมะเร็งบางชนิดได้โดยบทบาทของศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพฯ นอกจากการรับรู้นโยบายที่เป็นการปรับระบบบริการแล้ว ยังมองภาพรวมในงานที่ต้องขับเคลื่อนทั้งหมด ที่ต้องสอดรับการให้บริการที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน


งานนี้การขับเคลื่อนในส่วนหลังบ้านเพื่อสนับสนุนการจัดบริการจึงได้เริ่มขึ้น โดยเรามองเป็นกระบวนการ เริ่มตั้งแต่ทีมแพทย์เมื่อวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งจะต้องส่งผู้ป่วยเข้ารับบริการในนโยบายนี้ห้องปฏิบัติการหรือห้องแล็บที่ต้องปรับระบบเพื่อผู้ป่วยได้รับผลตรวจยืนยันและเข้าสู่บริการรักษาโดยเร็ว เช่นเดียวกับแผนกเอกซเรย์,ซีทีสแกน, MRIและอัลตร้าซาวด์ที่แยกระดับความรุนแรงผู้ป่วยในการรับบริการ ซึ่งทำให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจโดยเร็ว นอกจากนี้ยังมีในส่วนศูนย์ส่งต่อที่ปรับระบบ ทำใบส่งต่อให้ผู้ป่วยเพียงครั้งเดียว แต่สามารถใช้ส่งต่อได้ตลอดที่ต้องไปรับบริการรักษาที่โรงพยาบาลมะเร็ง จากแต่เดิมต้องทำใบส่งตัวทุก 3 เดือน


“การรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่ รพ.ตราด มีนโยบายที่เน้นส่งต่อผู้ป่วย เนื่องจากการซื้อยามะเร็งเพื่อรักษาผู้ป่วยรวมถึงการให้ยาเคมีบำบัดจะทำให้ รพ.มีต้นทุนบริการที่สูงเพื่อดูแลผู้ป่วยจำนวนไม่มาก ดังนั้นการส่งต่อผู้ป่วยไปรับการรักษาใน รพ.ที่มีศักยภาพด้านมะเร็งที่อยู่ใกล้เคียงอย่าง รพ.พระปกเกล้า จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า”


อย่างไรก็ดีการจะให้ส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนโยบายนี้ได้นั้น จะต้องดำเนินการโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาลที่เป็นอำนาจสูงสุดในการบริหารโรงพยาบาล โดยศูนย์หลักประกันสุขภาพในหน่วยบริการจะคอยทำหน้าที่สนับสนุนน้องๆ ที่ทำงานในแผนกผู้ป่วยมะเร็งในการนำเสนอ ซึ่งสิ่งสำคัญที่เราเน้นย้ำคือ การสื่อสารกับผู้บริหารกับแพทย์ว่าเรื่องนี้คือ “health need”ที่ประชาชนต้องการ สื่อสารกับห้องแล็บว่าจากที่รอผลตรวจเป็นรายเดือน ขยับเป็นรายสัปดาห์ได้หรือไม่ โดยให้มี track พิเศษสำหรับคนไข้ที่เร่งด่วน สื่อสารในเรื่องรายการยา โดยยามะเร็งบางรายการไม่ต้องซื้อแต่ใช้วิธีส่งต่อ เป็นต้น


          ขณะเดียวกันในฝั่งของประชาชน ศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพฯมีหน้าที่เป็นตัวกลางการสื่อสาร ทำงานร่วมกับหน่วยรับเรื่องร้องเรียนที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียนตามมาตรา 50(5) และเครือข่ายภาคประชาชน ให้เข้าใจถึงกระบวนการทำงานของหน่วยบริการ อย่างที่บอกว่าการขับเคลื่อนนโยบายนี้มีงานหลังบ้านที่ต้องทำเยอะมาก เมื่อมีการประกาศนโยบาย Cancer Anywhere เราต้องพูดคุยกันว่าอย่าเพิ่งร้องเรียนกัน ทำความเข้าใจกับผู้ป่วยว่าไม่ใช่ประกาศแล้วจะมารับบริการได้เลย เพราะยังมีงานจัดระบบหลังบ้านเยอะมากซึ่งต้องขอเวลาก่อน อย่างไรก็ตามจากผลลัพธ์ที่ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งเข้าถึงบริการได้เร็วขึ้น ถือได้ว่าเป็นการทำงานที่คุ้มค่า


“การทำงานของศูนย์หลักประกันสุขภาพในโรงพยาบาล เราจะทำงานกันในรูปแบบนี้ ลักษณะนี้ เป็นการ back up ข้อมูลและขับเคลื่อนการทำงานต่างๆ ไม่เพียงแต่ Cancer Anywhere ซึ่ง Cancer Anywhere เป็นเพียงแค่งานเล็กๆ ส่วนหนึ่งของการทำงานของศูนย์ฯ เท่านั้น เมื่อมองภาพรวมภาพรวมการบริการทั้งระบบ”   


นางอันธิกา ย้ำในตอนท้ายด้วยว่า สรุปคือบทบาทหน้าที่ของศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพในหน่วยบริการมีหน้าที่ Back up ทั้งหน่วยบริการและภาคประชาชนให้เกิดบริการที่พึงประสงค์ตาม health need เราเป็นกลไกหนึ่งที่จะประสานงานให้เกิดการขับเคลื่อน ไป empower หน่วยบริการ เพื่อให้สามารถตอบสนอง health need ของประชาชนได้