ครึ่งปี พบป่วย “ไข้มาลาเรีย” 8,999 ราย จ.ตาก พบมากสุด หากมีอาการ ไข้ หนาวสั่น ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ควรรีบพบแพทย์

ที่มา: กรมควบคุมโรค

ข้อมูลจาก กรมควบคุมโรค ปัญหาโรคไข้มาลาเรียยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในประเทศไทย โดยพบผู้ป่วยในพื้นที่ที่ติดกับแนวชายแดนไทย-เมียนมา 10 จังหวัด โดยสถานการณ์โรคไข้มาลาเรีย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 9 มิถุนายน 2567 พบผู้ป่วยแล้ว 8,999 ราย โดยจังหวัดที่พบผู้ป่วยสูงสุด
* ตาก 4,048 ราย
* กาญจนบุรี 1,102 ราย
* แม่ฮ่องสอน 956 ราย
* ประจวบคีรีขันธ์ 955 ราย
* และราชบุรี 500 ราย


ส่วนใหญ่พบผู้ป่วยติดเชื้อชนิดไวแวกซ์ (Plasmodium vivax) 93.6 % และชนิดฟัลซิปารัม (Plasmodium falciparum) 5 % พบมากในกลุ่มอายุ 25 – 44 ปี ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และรับจ้าง


สัดส่วนผู้ป่วยคนไทยและต่างชาติแตกต่างกัน โดยพื้นที่ชายแดนภาคเหนือพบผู้ป่วยต่างชาติมากกว่าคนไทย ขณะที่พื้นที่ชายแดนภาคตะวันตกพบผู้ป่วยคนไทยมากกว่าต่างชาติ


ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการเร่งรัดกำจัดโรคไข้มาลาเรียได้รับทราบสถานการณ์และผลการดำเนินงานใน 6 จังหวัดไข้สูงชายแดนไทย – เมียนมา มีมติเห็นชอบดังนี้
1.เพิ่มพื้นที่ดำเนินงานเร่งรัดอีก 4 จังหวัด คือ ชุมพร ระนอง เชียงใหม่ และเชียงราย
2.แต่งตั้งอนุกรมการเพิ่ม ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 4 จังหวัด และผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข 4 เขต คือ เขตสุขภาพ 1,2 ,5 และ 11
3.สนับสนุนสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดให้พัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการตรวจหาผู้ติดเชื้อโรคไข้มาลาเรียด้วยชุดตรวจอย่างรวดเร็ว (RDT) นอกจากนั้นยังรับทราบการใช้ยาทาฟิโนควิน (Tafenoquin) ในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อ ชนิดไวแวกซ์ ใน 21 โรงพยาบาล ของ 6 จังหวัดชายแดน
4.เร่งรัดให้อำเภอที่พบผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียสูงพิจารณาเปิดศูนย์ปฏิบัติการทางสาธารณสุข (EOC) กรณีโรคไข้มาลาเรีย ในระดับอำเภอ เพื่อเร่งระดมสรรพกำลังและทรัพยากรสนับสนุนในการจัดการโรคไข้มาลาเรีย


4 จังหวัดปลอดมาลาเรียแต่กลับมาพบใหม่
ด้านนพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ยังต้องเฝ้าระวังในพื้นที่จังหวัดปลอดโรคไข้มาลาเรีย ซึ่งในปี 2567 พบว่า มีจังหวัดที่ถูกประกาศรับรองเป็นจังหวัดปลอดโรคไข้มาลาเรียแต่กลับมาพบผู้ป่วยติดเชื้อในพื้นที่ถึง 4 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช สตูล เชียงใหม่ และเลย จึงต้องมีการจัดทำแผนเพื่อป้องกันการกลับมาแพร่เชื้อใหม่ในพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พบการเคลื่อนย้ายของประชากรต่างชาติ เพื่อป้องกันการนำเชื้อเข้ามาในประเทศไทย
เพิ่มมาตรการ 6+1 เร่งกำจัดมาลาเรีย


นพ.นิติ เหตานุรักษ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า ต้องเร่งรัดกำหนดเป้าหมายลดโรคไข้มาลาเรียให้ได้ภายใน 3 เดือน กรกฎาคม-กันยายน 2567 ด้วยมาตรการ 1-3-7 ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมโรคเดิม คือ รายงานผู้ป่วยภายใน 1 วัน สอบสวนผู้ป่วยเฉพาะรายภายใน 3 วัน และควบคุมยุงพาหะพร้อมทั้งสื่อสารความเสี่ยงภายใน 7 วัน


และเพิ่มมาตรการ 6+1 ได้แก่ การเพิ่มการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในชุมชน ขยายการเข้าถึงบริการตรวจรักษาในชุมชนโดยมาลาเรียชุมชน การตอบโต้เมื่อพบผู้ป่วยหรือเมื่อเกิดการระบาดอย่างรวดเร็ว การควบคุมยุงพาหะให้ครอบคลุม การติดตามการกินยาและผลการรักษาให้ครบถ้วน การติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนเครื่องมือ นวัตกรรมใหม่ แนวทาง คู่มือ และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์
โดยดำเนินการในพื้นที่จังหวัดไข้สูง 6 จังหวัด ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และราชบุรี รวมถึงจังหวัดที่พบรายงานผู้ป่วยเพิ่มเติมอีก 4 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร ระนอง เชียงใหม่ และเชียงราย เพื่อเร่งลดจำนวนผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียโดยเร็วที่สุด
อาการมาลาเรีย ป่วยรีบพบแพทย์ แจ้งประวัติ


พญ.ฉันทนา ผดุงทศ ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อนำโดยแมลง กล่าวว่า โรคไข้มาลาเรียเกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัวชนิด Plasmodium spp. เมื่อป่วยจะมีอาการไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อมาลาเรียทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเข้าป่าหรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของโรคไข้มาลาเรียให้แพทย์ทราบ ทานยาให้ครบและไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อให้หายขาดจากโรคไข้มาลาเรีย

ข้อมูลจาก   https://www.thaihealth.or.th/?p=367955