นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า จากสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดบริการรักษาพยาบาลนอกโรงพยาบาล เช่น จัดตั้งโรงพยาบาลภาคสนาม ทำให้ความต้องการใช้เครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่แบบพกพาประกอบการดำเนินการเพิ่มมากขึ้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลมาตรฐานของเครื่องเอกซเรย์ เครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่แบบพกพาที่นำมาใช้วินิจฉัยผู้ป่วยนั้น ต้องคำนึงถึงลำรังสีและระยะโฟกัสถึงผิวผู้ป่วยจะมีผลกับคุณภาพของภาพถ่ายทางรังสี ซึ่งเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่แบบพกพาอาจจะมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถกำหนดขอบเขตอวัยวะที่ต้องการถ่ายภาพรังสีและขนาดลำรังสีได้ นอกจากนั้น การเคลื่อนไหวจากการถ่ายภาพของเจ้าหน้าที่ อาจส่งผลให้ภาพถ่ายทางรังสีไม่ชัดเจน เกิดการถ่ายภาพซ้ำ ทำให้ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายอาจได้รับรังสี หรือปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับเกินความจำเป็น รวมถึงผู้ปฏิบัติงานและบุคคลอื่นที่อยู่ในระยะใกล้ขณะที่ทำการฉายรังสีให้กับผู้ป่วยก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายได้เช่นกัน และไม่เป็นไปตามหลักการป้องการอันตรายจากรังสี (ALARA “As low as reasonably achievable”) ที่ว่าด้วยเรื่องการได้รับปริมาณรังสีน้อยที่สุดอย่างสมเหตุสมผล กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้จัดทำและเผยแพร่มาตรฐานคุณภาพเครื่องเอกซเรย์วินิจฉัยทางการแพทย์ ปี พ.ศ.2562 เพื่อใช้เป็นแนวทางกำกับดูแลมาตรฐานเครื่องเอกซเรย์
อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่แบบพกพา ควรดำเนินการเฉพาะสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ออกพื้นที่ภาคสนาม หรือในโรงพยาบาลสนามที่เครื่องเอกซเรย์ที่มีอยู่ในสถานพยาบาลไม่สามารถนำออกไปใช้ได้ และต้องมีมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างรัดกุม พิจารณาอย่างรอบคอบในเรื่องระยะจากหลอดเอกซเรย์ถึงผิว เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานและบุคคลอื่นที่อยู่โดยรอบ ในการปฏิบัติการต้องมีขาตั้งตัวเครื่อง สวิตช์ควบคุมเครื่องเอกซเรย์ระยะไกล (remote control) มีอุปกรณ์ป้องกัน การสะท้อนของรังสี ควรใช้เครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่แบบพกพาในห้องที่สามารถป้องกันรังสีได้ เพื่อความปลอดภัยแก่บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฉายรังสี
วิธีการปฏิบัติในกรณีติดตั้งเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่แบบพกพา เพื่อใช้งานในโรงพยาบาลสนาม ดังนี้
1.ต้องมีและใช้อุปกรณ์และวิธีการป้องกันอันตรายจากรังสีตามมาตรฐานคุณภาพเครื่องเอกซเรย์วินิจฉัยทางการแพทย์ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ปี พ.ศ.2562 กล่าวคือ ใช้เวลาในการปฏิบัติงานให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดรังสีให้มากที่สุดเท่าที่สามารถปฏิบัติงานได้ และให้มีอุปกรณ์ป้องกันรังสี
2.ขณะปฏิบัติงานเจ้าหน้าต้องสวมเสื้อกำบังรังสี ปลอกคอกำบังรังสีหรือแผ่นกำบังอวัยวะสืบพันธุ์ โดยวัสดุกำบังรังสีอาจทำด้วยตะกั่วหรือวัสดุเทียบเท่ากับตะกั่วที่มีความหนาอย่างน้อย 0.25 มิลลิเมตร
3.บริเวณที่ดำเนินการด้านรังสีต้องสามารถป้องกันรังสีกระเจิง โดยต้องมีผนังหรือฉากที่สามารถเพียงพอที่จะป้องกันรังสีรั่วบริเวณพื้นที่ควบคุมได้ไม่เกิน 100 ไมโครซีเวิร์ตต่อสัปดาห์ และบริเวณไม่ควบคุมต้องไม่เกิน 20 ไมโครซีเวิร์ตต่อสัปดาห์
4.ผู้ปฏิบัติให้อยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดรังสีไม่ต่ำกว่า 3 เมตร โดยเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ในภาคสนาม ต้องมีสายควบคุมการเอกซเรย์ หรือรีโมท เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ปฏิบัติอยู่ใกล้แหล่งกำเนิดรังสี
5.ในกรณีจำเป็นต้องเอกซเรย์สตรีตั้งครรภ์ ต้องมีการป้องกันรังสีบริเวณท้องให้ได้รับรังสีน้อยที่สุด
6.เครื่องเอกซเรย์ต้องได้รับการตรวจสอบคุณภาพเครื่องและความปลอดภัยตามคู่มือมาตรฐานคุณภาพเครื่องเอกซเรย์วินิจฉัยทางการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ปี พ.ศ.2562