10 เทคนิคการดูแลเส้นผมและหนังศีรษะให้สุขภาพดี Hair Care

หน้าสวยแต่ผมเสียอย่างนี้ก็ไม่ได้นะคะ! ผมแห้งกรอบไม่เงางาม หนังศีรษะลอกมีรังแค อาจมาจากวิธีการดูแลแบบผิดๆ หรือหากใครที่ไม่เคยดูแลเส้นผมตัวเองเลยเพราะคิดว่าไม่ทำสีผม ไม่ใช้ความร้อนกับผมก็ไม่ทำให้ผมเสีย อันนี้คิดผิดมากๆ เพราะผมที่สุขภาพไม่ดีมาจากหลายสาเหตุซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือมลภาวะและความเครียดที่ส่งผลให้ผมสุขภาพไม่ดี และยิ่งผมขาดการบำรุงด้วยแล้วก็จะยิ่งแห้งดูหยาบกระด้างไม่มีน้ำหนัก วันนี้TNP จะมาแนะนำเทคนิคการดูแลเส้นผมและหนังศีรษะให้สุขภาพดีกันค่ะ


1.ความถี่ในการสระผม
การสระผมช่วยให้หนังศีรษะและเส้นผมปราศจากสิ่งสกปรกและความมันส่วนเกิน ซึ่งความถี่ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับประเภทของเส้นผม หากผมแห้งและเสียมากควรสระ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือหากมีหนังศีรษะที่มันก็ควรสระแบบวันเว้นวัน สำหรับคนที่สระผมบ่อยทุกวันเพราะคิดว่าหนังศีรษะมันง่ายบางทีคุณอาจคิดผิด การสระผมบ่อยๆ ด้วยแชมพูที่ทำความสะอาดแบบรุนแรงจะทำให้หนังศีรษะแห้งอย่างมาก เพราะสารทำความสะอาดจะดึงน้ำมันออกมามากเกินไป เมื่อหนังศีรษะแห้งมากๆ ด้วยกลไกตามธรรมชาติของผิวก็จะเพิ่มการผลิตน้ำมันขึ้นมาเพื่อให้ผิวชุ่มชื้น นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนหนังศีรษะมันง่ายนั่นเอง


อีกจุดที่ควรสังเกตคือเกล็ดหรือขุยที่เกิดขึ้นบนหนังศีรษะ หากมีแผ่นสีขาวเล็กๆ หลุดลอกออกมานั่นคืออาการของหนังศีรษะแห้ง ให้ลดความถี่ในการสระลง แต่ถ้าหากเป็นสะเก็ดสีขาวหรือเหลืองนั่นคือรังแค ควรเพิ่มความถี่ในการสระผม เพราะสาเหตุของรังแคเกิดจากการที่หนังศีรษะมีความมันมากเกินไป ทำให้เชื้อจุลินทรีย์กินน้ำมันเป็นอาหารและก่อให้เกิดรังแคตามมา และจุดสำคัญของการสระผมคือให้เน้นการทำความสะอาดหนังศีรษะเป็นหลัก เส้นผมรองลงมา หากเส้นผมถูกทำความสะอาดมากเกินไปจนดึงความชุ่มชื้นในผมออกมามากจะทำให้ผมชี้ฟูและหยาบกระด้างได้

2.ใช้แชมพูที่เหมาะสม
เราไม่สามารถควบคุมมลภาวะหรือสิ่งแวดล้อมที่เข้ามาทำร้ายเส้นผมของเราได้แต่สิ่งที่เราควบคุมได้คือแชมพูที่ใช้ทำความสะอาดผม โดยประเภทของแชมพูขึ้นอยู่กับสภาพเส้นผมของแต่ละบุคคล ตัวอย่างเช่น ผมทำสีควรใช้แชมพูสูตรที่ออกแบบมาเพื่อผมทำสี เพื่อความสะอาดของหนังศีรษะและเพื่อรักษาสีผมที่ทำมาให้อยู่ได้นานที่สุด หากเลือกแชมพูที่ไม่เหมาะกับผมทำสีก็อาจจะทำให้สีผมนั้นเฟดไปเป็นสีอื่นที่ไม่ต้องการ ส่วนผมแห้งเสียควรใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของสารบำรุงเส้นผม เพื่อให้เส้นผมเงางาม นุ่มลื่นหวีง่าย ไม่พันกัน


นอกจากนี้ในบางคนอาจมีผมที่หลุดร่วงได้ง่ายหรือระคายเคืองได้ง่ายควรเลือกใช้แชมพูสูตรอ่อนโยน เพราะบางครั้งหนังศีรษะของเรานั้นไวต่อสารทำความสะอาดที่อยู่ในแชมพู เช่น Sodium Lauryl Sulfate (SLS) หรือ Sodium Laureth Sulfate (SLES) เป็นสารทำความสะอาดในกลุ่มซัลเฟต (Sulfate) ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ สามารถหลีกเลี่ยงสารกลุ่มนี้ได้โดยใช้แชมพูที่ปราศจากซัลเฟต หรือมีสารทำความสะอาดที่อ่อนโยนเหมาะกับสภาพเส้นผม เช่น Sodium LauroylSarcosinateหรือ Sodium LaurylglucosidesHydroxypropylsulfonateเป็นต้น


3.ใช้ครีมนวดผมทุกครั้งหลังสระผม
ใช้ครีมนวดผมทุกครั้งหลังสระผมและต้องเป็นสูตรที่เหมาะกับสภาพเส้นผม ซึ่งการใช้ครีมนวดจะเน้นที่บริเวณปลายผม เพราะเป็นส่วนที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด ครีมนวดผมจะช่วยปรับสภาพเส้นผมให้นุ่ม หวีง่าย เงางาม มีน้ำหนัก ลดไฟฟ้าสถิตให้ผมไม่ชี้ฟู เคลือบผมเพิ่มความแข็งแรง และปกป้องเส้นผมจากแสงแดด ที่สำคัญไม่ควรลงครีมนวดผมบริเวณโคนผมเนื่องจากจะทำให้ผมเส้นเล็กดูลีบแบนได้ จึงควรใช้เฉพาะที่ปลายผมเท่านั้น และไม่ควรใช้กับหนังศีรษะเพราะในครีมนวดผมที่สารที่ช่วยเคลือบเส้นผม ซึ่งอาจไปอุดตันรูขุมขนบนหนังศีรษะได้ ทำให้เกิดรังแค และส่งผลให้เกิดปัญหาผมร่วง ผมบางตามมาได้

4.เป่าผมให้แห้ง
หลังสระผมเสร็จควรซับน้ำและปล่อยให้ผมแห้งเองจะทำให้ผมสุขภาพดีที่สุด แต่หากสะดวกใช้ไดร์เป่าผมก็ควรใช้ลมเย็นหรือตั้งค่าความร้อนให้ต่ำที่สุด และใช้เวลาเป่าให้น้อยที่สุด เพราะความร้อนสามารถทำให้ผมเสียหายได้ และควรใช้หวีซี่ห่างในการหวีผมเพราะผมที่เปียกนั้นเปราะบางและขาดง่าย หรือหวีหลังผมแห้งจะดีที่สุด นอกจากนี้อย่านอนในขณะที่ผมยังเปียกอยู่ ความชื้นส่วนเกินจะทำให้หนังศีรษะเกิดอาการคันและมีรังแคตามมาได้ และพวกเชื้อราที่แอบแฝงอยู่ในหมอนนั้นชอบความชื้นเป็นอย่างมาก พวกมันจะเติบโตอย่างรวดเร็วและเกาะติดอยู่บนหนังศีรษะก่อให้เกิดการอักเสบได้


5.บำรุงก่อนสระผม
ในบางครั้งหากเรามีเวลาก็ควรที่จะบำรุงหนังศีรษะและเส้นผมก่อนทำความสะอาด เช่น ทรีตเมนต์ผม หรือ น้ำมันบำรุงหนังศีรษะและเส้นผมที่มาจากธรรมชาติ ได้แก่ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันอัลมอนด์ น้ำมันมะกอก น้ำมันอะโวคาโด้ และน้ำมันโจโจบาร์ เป็นต้น น้ำมันธรรมชาติจะช่วยบำรุงหนังศีรษะให้สุขภาพดี เส้นผมแข็งแรงไม่ขาดง่าย เพิ่มความเงางามให้เส้นผมเป็นประกาย คืนความชุ่มชื้นให้เส้นผม รวมไปถึงช่วยปลอบประโลม ลดแรงเสียดทานระหว่างเส้นผมระหว่างการใช้แชมพู และนอกจากนี้การนวดหนังศีรษะระหว่างลงน้ำมันไปด้วยจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดบนหนังศีรษะ ช่วยผ่อนคลายหนังศีรษะ และลดความเครียดลงไปได้

6.สระผมสไตล์ญี่ปุ่น
คุณหมอที่ญี่ปุ่นได้ออกมาแนะนำวิธีสระผมที่ถูกต้องซึ่งช่วยลดผมร่วงได้ เทรนด์การสระผมสไตล์คนญี่ปุ่นจึงโด่งดังมาถึงประเทศไทย และเมื่อมีหลายคนที่ลองทำตามปรากฏว่าช่วยลดผมร่วงได้ ซึ่งวิธีนี้ก็แล้วแต่สภาพผมของแต่ละบุคคลด้วยเช่นกัน โดยมีขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ล้างผมด้วยน้ำเปล่าประมาณ 30-60 วินาที จะช่วยชะล้างสิ่งสกปรกได้ถึง 80%
ขั้นตอนที่ 2 ตีฟองแชมพูด้วยมือ หรือตาข่ายตีฟอง แล้วค่อยนำฟองที่ได้นั้นไปเน้นทำความสะอาดที่หนังศีรษะ ขั้นตอนนี้จะช่วยชะล้างสิ่งสกปรกโดยไม่ส่งผลเสียกับหนังศีรษะ
ขั้นตอนที่ 3 ขณะสระผมให้ใช้ท้องนิ้วทั้ง 10 นวดคลึงหนังศีรษะ ห้ามเกา
ขั้นตอนที่ 4 ล้างน้ำจากบริเวณท้ายทอยหรือส่วนต้นคอขึ้นไป หรือก็คือก้มศีรษะแล้วล้าง เป็นการล้างแบบสวนทางกับทิศทางของเส้นผม โดยใช้เวลาในการล้างออกให้นานกว่าการฟอกแชมพู 2 เท่า ถึงจะทำความสะอาดได้ดี
ขั้นตอนที่ 5 หลังสระผมเสร็จ ใช้ไดร์เป่าผมให้แห้งภายใน 5 นาที เพราะความชื้นจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อราอย่างดี

7.สระผมด้วยน้ำอุ่นล้างออกด้วยน้ำเย็น
น้ำอุ่นจะช่วยดึงความมันและสิ่งสกปรกออกจากหนังศีรษะและเส้นผมได้ดีกว่าน้ำเย็น โดยอุณหภูมิน้ำอุ่นที่เหมาะสมก็คือ 40 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่กำลังสบายหนังศีรษะ ช่วยให้ผ่อนคลายได้อย่างมาก แต่ถ้าหากน้ำมีอุณหภูมิสูงมากเกินไปจะกลายเป็นการทำลายหนังศีรษะและเส้นผม เส้นผมที่โดนน้ำร้อนจะเปราะบาง แตกหัก และหลุดร่วงได้ง่าย เพราะสูญเสียความชื้นและความยืดหยุ่นนั่นเอง ส่วนหนังศีรษะจะแห้งและลอก ส่งผลต่อรากผมและผมที่กำลังเกิดใหม่ได้
การล้างผมด้วยน้ำเย็นเป็นการปิดท้าย ช่วยให้เกล็ดผมที่เปิดเพราะแชมพูปิดลงได้อย่างเรียบสนิททำให้ผมเงางามและยังป้องกันมลภาวะที่เข้ามาเกาะติดผมได้ ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในเส้นผม หนังศีรษะไม่แห้งลอกเป็นขุย เย็นสบายคลายเครียด หากใช้น้ำเย็นทั้งขั้นตอนการสระและล้างออกจะทำให้ผมลีบแบนกว่าที่ควร ดูไม่ค่อยมีวอลลุ่ม


8.ปกป้องเส้นผมเมื่อมีกิจกรรมว่ายน้ำ
การว่ายน้ำในสระว่ายน้ำที่มีคลอรีนเป็นการทำร้ายเส้นผมอย่างหนึ่ง โดยคลอรีนจะไปทำลายเส้นผมให้เสียสภาพ ทำให้ผมขาดง่าย ไร้น้ำหนัก ขาดความชุ่มชื้น และสีผมอาจเกิดการซีดลงได้ ยิ่งสระว่ายน้ำกลางแจ้งด้วยแล้ว แสงแดดจะยิ่งเร่งให้ผมเสียได้ง่ายขึ้น เพราะแสงแดดจะเป็นตัวการในการเปิดเกล็ดผมทำให้คลอรีนเข้าไปทำลายเส้นผมได้ง่ายขึ้น วิธีปกป้องและดูแลเส้นผมจากคลอรีนมีดังนี้
1). หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำช่วงเวลาที่แดดจัด
2) สวมหมวกว่ายน้ำทุกครั้ง
3) ทำให้ผมเปียกทุกครั้งก่อนลงว่ายน้ำ
4) ล้างคลอรีนออกจากเส้นผมทุกครั้งหลังขึ้นจากสระว่ายน้ำ
5) สระผมเพื่อล้างคลอรีนที่ตกค้างอยู่ในเส้นผม
6) ใช้ครีมนวดผมทุกครั้งเพื่อบำรุงเส้นผมที่สูญเสียความชุ่มชื้นไป

9.ดื่มน้ำและทานอาหารบำรุงผม
การดื่มน้ำเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นจากภายในสู่ภายนอก เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ทั้งผิวและผมมีสุขภาพดี ใน 1 วันเราควรจะดื่มน้ำประมาณ 2 ลิตร เพื่อคงความชุ่มชื้นของร่างกาย หากร่างกายขาดน้ำก็จะส่งผลให้เส้นผมขาดความชุ่มชื้น ดูไม่มีน้ำหนัก
เส้นผมสร้างจากโปรตีนและกรดอะมิโน ดังนั้นหากต้องการบำรุงผมก็ควรเลือกทานอาหารที่มีโปรตีนและกรดอะมิโน เช่น ชีส นม ถั่วเหลือง ถั่วเลนทิล ถั่วลันเตา ควินัว และโยเกิร์ต เป็นต้น และเสริมด้วยธาตุเหล็ก เช่น ปลา เมล็ดฟักทอง ถั่วเหลือง ไข่ และผักใบเขียว เป็นต้น อาหารที่ดีจะส่งผลให้เส้นผมแข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย


10.เลิกเชื่อแบบผิด ๆ
ความเชื่อแบบผิดๆ ที่ใช้นำมาดูแลผมนั้นนอกจากจะไม่ช่วยให้ผมสุขภาพดีแล้วยังทำร้ายผมได้อีกด้วย เช่น แปรงผมวันละ 100 ครั้งจะช่วยให้ผมแข็งแรง เป็นความเชื่อแบบผิดๆ ยิ่งแปรงมาก ยิ่งดึงรั้งเส้นผม เป็นสาเหตุทำให้ผมแตกปลายมากกว่าเดิม และยังทำให้รากผมอ่อนแอหลุดร่วงได้ง่าย ควรใช้หวีซี่ห่างและหวีแค่ให้ผมเรียบ หากมีผมพันกันควรแกะออกอย่างเบามือ ความเชื่อต่อมาคือ ผมแตกปลายเครื่องสำอางช่วยได้ บอกเลยว่าไม่จริง ผมแตกปลายคือผมที่เสียสภาพไปแล้วไม่สามารถกลับมาสุขภาพดีได้ ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมสามารถช่วยไม่ให้เส้นผมแตกปลายไปมากกว่าเดิมเพียงเท่านั้น ดังนั้นวิธีแก้คือต้องเล็มปลายผมส่วนที่แตกปลายออกเท่านั้น อีกหนึ่งความเชื่อก็คือ ถอนผมหงอกไม่ทำให้ผมบาง ซึ่งผมหงอกก็ถือเป็นเส้นผมเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่เกิดการผลิตเม็ดสีแล้วจึงทำให้เส้นผมมีสีขาวนั่นเอง หากไปทำการถอนออกเรื่อยๆ จะเป็นการลดจำนวนชีวิตของเส้นผมลงเรื่อยๆ โดยผมจะมีอายุขัยประมาณ 15-20 ชีวิต หากถอนผมหงอกครบ 20 ครั้ง ก็จะไม่มีผมใหม่เกิดขึ้นมาอีกเลย ผมเราก็จะดูบางลงนั่นเอง วิธีแก้ก็คือหยุดถอนผมหงอก ใช้การย้อมผมแทนนั่นเองค่ะ

 


 


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : https://www.tnpoem.com/blog/7958/10-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84