ปูติน-สี จิ้นผิง คิดอะไรบางอย่างอยู่หรือไม่ จากบทสนทนาเรื่องปลูกถ่ายอวัยวะเพื่อความเป็นอมตะ

 ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง แห่งจีน พูดคุยกันเรื่องการใช้การปลูกถ่ายอวัยวะเพื่อช่วยให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้น ขณะที่ไมโครโฟนยังเปิดอยู่    


(รูป AFP VIA GETTY IMAGES)


 


Author, มิเชล โรเบิร์ตส์
Role,บรรณาธิการด้านสุขภาพดิจิทัล สำนักข่าวบีบีซี  

 


คนเราจะเป็นอมตะจากการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะได้ไหม ? นี่เป็นหัวข้อการสนทนาที่ไม่มีใครคาดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นระหว่างประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน และประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ในพิธีสวนสนามทางทหารที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา


ล่ามของประธานาธิบดีปูตินแปลภาษาจีนกลางให้ประธานาธิบดีสีฟังว่า อวัยวะของมนุษย์สามารถปลูกถ่ายซ้ำได้ "เพื่อให้คนเรากลับมาอ่อนเยาว์ขึ้นเรื่อยๆ" แม้จะมีอายุเพิ่มขึ้น และอาจสามารถหลีกเลี่ยงความแก่ชรา "ไปได้อย่างไม่สิ้นสุด"


"มีการคาดการณ์ว่าในศตวรรษนี้ มนุษย์อาจมีอายุยืนถึง 150 ปี" เขากล่าวเสริม


แม้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทั้ง 2 ผู้นำจะบ่งบอกว่าเป็นการหยอกล้อกันเล่น แต่คำถามที่ตามมาก็คือสิ่งที่พวกเขากำลังพูดมีความเป็นไปได้จริงบ้างหรือไม่


 

การปลูกถ่ายอวัยวะสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้อย่างแน่นอน
กระนั้นแล้ว การผ่าตัดถือเป็นกระบวนการใหญ่ที่มาพร้อมกับความเสี่ยงสูง

 


การปลูกถ่ายอวัยวะช่วยชีวิตผู้คนได้อย่างมหาศาล ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานบริการโลหิตและการปลูกถ่ายอวัยวะแห่งชาติ (NHS Blood and Transplant) ของสหราชอาณาจักรรายงานว่า มีผู้ได้รับการช่วยชีวิตมากกว่า 100,000 คน


นอกจากนี้ ยิ่งการแพทย์และเทคโนโลยีพัฒนาก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องก็ยิ่งช่วยให้อวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่ายสามารถทำงานได้นานขึ้นเมื่ออยู่ในร่างกายมนุษย์


มีผู้ป่วยบางรายเคยได้รับการปลูกถ่ายไต และอวัยวะส่วนนี้ยังคงทำงานได้ดีนานกว่า 50 ปีจนถึงปัจจุบัน


ทั้งนี้ แพทย์ระบุว่าอายุการใช้งานของอวัยวะขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้บริจาคและผู้รับ รวมถึงการดูแลรักษาหลังการปลูกถ่าย


ตัวอย่างเช่น หากผู้ป่วยได้รับไตจากผู้บริจาคที่ยังมีชีวิตอยู่ ไตนั้นก็อาจมีอายุการใช้งานประมาณ 20-25 ปี


แต่หากได้รับอวัยวะจากผู้บริจาคที่เสียชีวิตแล้ว อายุการใช้งานจะลดลงเหลือประมาณ 15-20 ปี


นอกจากนี้ ชนิดของอวัยวะก็มีผลต่ออายุการใช้งานเช่นกัน


งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารเศรษฐศาสตร์การแพทย์ (Journal of Medical Economics) ระบุว่า ตับอาจมีอายุการใช้งานราว 20 ปี หัวใจใช้ได้ประมาณ 15 ปี และปอดใช้ได้เกือบ 10 ปี


ตั๋วสู่ชีวิตอมตะ ?
ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อาจกำลังหารือเรื่องการปลูกถ่ายอวัยวะหลายส่วนและอาจเป็นการทำซ้ำหลายครั้งด้วย


อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการผ่าตัดเป็นกระบวนการที่มีความเสี่ยงสูงและทุกครั้งที่ผู้ป่วยต้องเข้ารับการผ่าตัดก็ไม่ต่างอะไรจากการเสี่ยงโชค


ปัจจุบันผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะจะต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressants) ตลอดชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายปฏิเสธอวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่าย ยากดภูมิคุ้มกันอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ความดันโลหิตสูง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ


ทั้งนี้แม้ผู้ป่วยจะรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ ร่างกายก็อาจยังปฏิเสธอวัยวะได้เช่นกัน เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอาจมองว่าอวัยวะที่ปลูกถ่ายเป็นสิ่งแปลกปลอมและเริ่มโจมตีอวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่ายมาในที่สุด


อวัยวะตามสั่ง
นักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามพัฒนาอวัยวะปลูกถ่ายที่ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์จะไม่ปฏิเสธ โดยใช้อวัยวะจากหมูที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรม


ทีมนักวิจัยใช้เครื่องมือแก้ไขพันธุกรรมที่เรียกว่า CRISPR ลบยีนบางส่วนของหมู และเพิ่มยีนของมนุษย์เข้าไป เพื่อให้อวัยวะของหมูสามารถเข้ากันได้มากขึ้นกับร่างกายมนุษย์


ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การผสมพันธุ์หมูสายพันธุ์พิเศษเพื่อใช้ในการปลูกถ่ายอวัยวะถือว่าเหมาะสมเพราะขนาดของอวัยวะมีความใกล้เคียงกับของมนุษย์


แม้ว่าวิทยาศาสตร์ด้านนี้ยังอยู่ในขั้นการทดลองขั้นสูง แต่ก็มีการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจและไตจากหมูสู่มนุษย์เกิดขึ้นแล้ว


ชาย 2 คนที่ตกลงเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะจากหมูทั้ง 2 ครั้งนับเป็นผู้บุกเบิกในวงการแพทย์ด้านการปลูกถ่ายอวัยวะ


แม้ทั้ง 2 จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่พวกเขามีบทบาทสำคัญในการผลักดันความก้าวหน้าด้าน Xenotransplantation ซึ่งหมายถึงการปลูกถ่ายเซลล์ เนื้อเยื่อ หรืออวัยวะจากสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งไปยังอีกชนิดหนึ่ง


อีกแนวทางหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์กำลังสำรวจคือ การสร้างอวัยวะใหม่โดยใช้เซลล์ของมนุษย์เอง


สิ่งสำคัญในแนวทางนี้คือเซลล์ต้นกำเนิด (stem cells) ซึ่งมีความสามารถในการเจริญเติบโตเป็นเซลล์หรือเนื้อเยื่อชนิดใดก็ได้ในร่างกายมนุษย์


แม้ยังไม่มีทีมนักวิจัยใดสามารถสร้างอวัยวะมนุษย์ที่ทำงานได้สมบูรณ์และสามารถปลูกถ่ายได้จริง แต่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ก็ใกล้ความจริงเข้ามาเรื่อยๆ


ในเดือนธันวาคม 2020 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตี คอลเลจ ลอนดอน หรือยูซีแอล และสถาบันฟรานซิส คริก (Francis Crick) ในสหราชอาณาจักร ได้สร้างต่อมไทมัสของมนุษย์ขึ้นใหม่ โดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดของมนุษย์และโครงสร้างชีววิศวกรรม


เมื่อปลูกถ่ายต่อมไทมัสเข้าไปในหนูทดลอง นักวิจัยก็พบว่าอวัยวะดังกล่าวสามารถทำงานได้


ขณะเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์จากโรงพยาบาลเกรท ออร์มอนด์ สตรีท (Great Ormond Street) ในกรุงลอนดอน ระบุว่าพวกเขาสามารถเพาะเนื้อเยื่อลำไส้มนุษย์จากเซลล์ต้นกำเนิดของผู้ป่วย ซึ่งอาจนำไปสู่การปลูกถ่ายเฉพาะบุคคลสำหรับเด็กที่มีภาวะลำไส้ล้มเหลวในอนาคต


อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า ความก้าวหน้าเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาโรคมากกว่าการทำให้มนุษย์มีชีวิตยืนถึง 150 ปี


 

 ไบรอัน จอห์นสัน มหาเศรษฐีสายเทคโนโลยี ใช้เงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีเพื่อพยายามชุบความเยาว์วัยของตนเอง  (รูป BLOOMBERG VIA GETTY IMAGES)

 


ขณะเดียวกันนายไบรอัน จอห์นสัน ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี กำลังใช้เงินหลายล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อพยายามลดอายุชีวภาพของตนเอง


แม้ยังไม่มีรายงานว่าเขาเคยปลูกถ่ายอวัยวะใหม่ แต่ชายคนนี้เคยฉีดพลาสมาจากลูกชายวัย 17 ปี เข้าสู่ร่างกายของตน


อย่างไรก็ตาม เขาได้ยุติการทดลองดังกล่าวแล้วหลังจากไม่พบประโยชน์ที่ชัดเจน และยังต้องเผชิญกับการตรวจสอบจากหน่วยงานด้านสุขภาพ เช่น องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ (FDA)


ดร.จูเลียน มุตซ์ จากวิทยาลัยคิงส์คอลเลจลอนดอน กล่าวว่านอกเหนือจากการปลูกถ่ายอวัยวะแล้ว แนวทางอย่างการเปลี่ยนถ่ายพลาสมาก็กำลังอยู่ระหว่างการศึกษา แต่ยังถือว่าอยู่ในขั้นทดลอง


ดร.มุตซ์กล่าวว่า "วิธีการเหล่านี้จะส่งผลต่ออายุขัยของมนุษย์อย่างมีนัยสำคัญหรือไม่นั้นยังไม่แน่ชัด โดยเฉพาะอายุขัยสูงสุดของมนุษย์ แม้จะเป็นประเด็นที่นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจอย่างมากก็ตาม"


ด้านศาสตราจารย์นีล แมบบอต ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิวิทยาภูมิคุ้มกัน จากสถาบันรอสลิน มหาวิทยาลัยเอดินบะระ ให้ความเห็นว่า อายุขัยสูงสุดของมนุษย์อาจอยู่ที่ราว 125 ปี


เขากล่าวกับบีบีซีนิวส์ว่า "บุคคลที่มีอายุยืนยาวที่สุดที่ได้รับการยืนยันคือหญิงชาวฝรั่งเศสชื่อ ฌาน กาลมองต์ ซึ่งมีชีวิตอยู่ถึง 122 ปี คือมีอายุอยู่ระหว่างปี 1875-1997"

 มีภาพถ่ายของฌาน กาลมองต์ (Jeanne Calment) ขณะกำลังสูบบุหรี่ในวันเกิดครบรอบ 117 ปีของเธอ ซึ่งเป็นภาพที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากเธอถือเป็นบุคคลที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการยืนยัน โดยมีชีวิตอยู่ถึง 122 ปี  (รูป GETTY IMAGES)

 


แม้อวัยวะที่เสียหายหรือเจ็บป่วยจะสามารถปลูกถ่ายเปลี่ยนได้ แต่ร่างกายของมนุษย์มีความสามารถในการรับมือกับความเครียดทางกายภาพลดลงอย่างมากเมื่ออายุเพิ่มขึ้น


ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า "เมื่ออายุมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะตอบสนองต่อการติดเชื้อได้ช้าลง ร่างกายจะเปราะบางมากขึ้น มีแนวโน้มที่จะบาดเจ็บง่าย และฟื้นตัวหรือซ่อมแซมตัวเองได้ช้าลง"


"ความเครียด ความบอบช้ำ และผลกระทบจากการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ รวมถึงการใช้ยากดภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการปฏิเสธอวัยวะ อาจรุนแรงเกินไปสำหรับผู้ป่วยสูงวัยที่มีอายุมาก"


ศาสตราจารย์แมบบอตกล่าวว่า แทนที่เราจะมุ่งเน้นไปที่การยืดอายุขัย เราควรให้ความสำคัญกับการมีชีวิตที่มีสุขภาพดีในช่วงเวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่


"หากต้องมีชีวิตยืนยาว แต่ต้องเผชิญกับโรคเรื้อรังหลายชนิดที่มาพร้อมกับวัยชรา และต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อปลูกถ่ายเนื้อเยื่อซ้ำอีกครั้ง ผมคงไม่อยากใช้เวลาช่วงเกษียณแบบนั้น" ศาสตราจารย์แมบบอตกล่าว

 


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : https://www.bbc.com/thai/articles/c0q7ze2w7klo