
วัคซีนภูมิแพ้ไรฝุ่นชนิดอมใต้ลิ้น (SLIT) เป็นการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) โดยนำสารก่อภูมิแพ้ที่ผู้ป่วยแพ้มากระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อสิ่งที่แพ้ ช่วยให้อาการภูมิแพ้ลดลง หรือหายไปได้
วัคซีนภูมิแพ้ชนิดอมใต้ลิ้นเหมาะกับผู้ป่วยกลุ่มใดบ้าง?
• ผู้ที่เป็นโรคโพรงจมูกอักเสบภูมิแพ้
• ผู้ที่เป็นโรคโพรงจมูกอักเสบภูมิแพ้ร่วมกับโรคหืดที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล
• ผู้ที่ใช้ยาแล้วมีผลข้างเคียงของยามาก
• ผู้ป่วยแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดที่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้
ข้อดีของวัคซีนภูมิแพ้ไรฝุ่นชนิดอมใต้ลิ้น (SLIT)
• รักษาตรงจุด แก้ที่กลไกของโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจโดยตรง
• ผู้ที่มีอาการของโรคหืดร่วมกับโรคโพรงจมูกอักเสบภูมิแพ้ การใช้วัคซีนชนิดอมใต้ลิ้น (SLIT) มีหลักฐานว่าช่วยให้อาการของโรคหืดทุเลาลง ลดอาการกำเริบ และลดการใช้ยาพ่นได้
• สามารถบริหารการใช้ยาเองที่บ้านได้ ไม่ต้องมาโรงพยาบาลทุกสัปดาห์
• มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยกว่าวัคซีนภูมิแพ้แบบฉีด
ข้อควรรู้ก่อนเริ่มใช้วัคซีนชนิดอมใต้ลิ้น
กรณีใช้ยาครั้งแรก ต้องใช้ต่อหน้าแพทย์หรือพยาบาล และสังเกตอาการต่ออย่างน้อย 30 นาทีหลังจากใช้ยา
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังใช้วัคซีนภูมิแพ้ไรฝุ่นชนิดอมใต้ลิ้น
• รู้สึกคันภายในช่องคอ ปาก ลิ้น หรือหู
• มีอาการบวม อักเสบ แสบร้อน บวมแดง บริเวณริมฝีปาก ลิ้น ช่วงคอ แผลในช่องปาก เจ็บภายในช่องปาก
• รู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่ม หรือรู้สึกชาภายในช่องปากหรือลิ้น
• เสียงแหบ ปากแห้ง กลืนลำบาก การรับรสเปลี่ยนไป
• ต่อมทอนซิล ต่อมน้ำลาย ขยายใหญ่ขึ้น หรือหลั่งน้ำลายมากขึ้น
• ตาอักเสบ คันตา
• รู้สึกไม่สบายช่องหู จมูก คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม หอบหืด ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
• รู้สึกปวดหรือรู้สึกไม่สบายกระเพาะอาหาร ระคายเคืองหลอดอาหารรู้สึกอาหารไม่ย่อย แสบร้อนกลางอก
• เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
หลังใช้วัคซีนชนิดอมใต้ลิ้น ถ้ามีอาการดังกล่าว ให้รอดูอาการ สามารถใช้ยาแก้แพ้ (ยาต้านฮิสตามีน) ได้ แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรง ควรรีบพบแพทย์
วัคซีนภูมิแพ้ไรฝุ่นชนิดอมใต้ลิ้น ต้องใช้ยานี้นานแค่ไหน?
การบำบัดทางอิมมูนต่อสารก่อภูมิแพ้ เพื่อเปลี่ยนแปลงการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิแพ้ ต้องใช้เวลารักษาอย่างน้อยประมาณ 3 ปี โดยการรักษานี้ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 8 ถึง 14 สัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นผล (ในรายที่ได้รับยาแล้วไม่ได้ผลดี โดยได้อมใต้ลิ้นต่อเนื่องกันมาเกินระยะ 1 ปีแล้ว และได้ตรวจสอบแก้ไขสาเหตุต่างๆ จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีข้อผิดพลาด แสดงว่าการรักษาโดยวิธีนี้ไม่ได้ผลสำหรับผู้ป่วยรายนั้นและควรจะหยุดยาได้)
ขอขอบคุณ : นพ. สดมภ์ เพียรพินิจ หัวหน้าแพทย์ประจำสาขาหู คอ จมูก โรงพยาบาลไทยนครินทร์
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล :https://thainakarin.co.th/article-from-doctor/sublingual-immunotherapy