เป็นไข้ต้องรักษาทุกครั้งหรือไม่ ? เมื่อใดสามารถปล่อยวาง และเมื่อใดต้องรีบลดไข้โดยด่วน

 

รูปจาก Getty Images


มาลู เคอร์ซิโน
Role,บีบีซี ฟิวเจอร์

ตี 3 แล้วแต่คุณยังคงนอนไม่หลับ พลิกตัวกระสับกระส่ายเพราะรู้สึกหนาวสั่นข้างใน ทว่าผิวหนังทั่วตัวกลับมีเหงื่อแตกท่วม หน้าผากร้อนเหมือนมีไฟแผดเผา ความเย็นยะเยือกแผ่ลามลงไปตามกระดูกสันหลัง อาการเหล่านี้เป็นเหมือนสัญญาณเตือนที่บอกคุณว่า ร่างกายมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว


แม้จะรู้สึกอ่อนล้าหมดแรงและสับสน แต่คนส่วนใหญ่ที่มีอาการดังกล่าวข้างต้นมักจะคิดปลอบใจตัวเองว่า "ก็แค่เป็นไข้เท่านั้น"


การมีไข้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากวิวัฒนาการของมนุษย์และสัตว์ โดยอาจมีอายุเก่าแก่ถึงกว่า 600 ล้านปี โดยเป็นอาการที่จะเกิดขึ้นเสมอเมื่อร่างกายมีการติดเชื้อไวรัส, แบคทีเรียหรือเชื้อรา คนส่วนใหญ่มักมีไข้กันตอนเป็นหวัด แต่ไข้ก็สามารถจะเป็นสัญญาณของโรคที่อันตรายร้ายแรงยิ่งกว่านั้น โดยตลอดความเป็นมาอันยาวนานของมนุษยชาติ เราได้นำคำว่า "ไข้" ไปรวมกับชื่อของโรคที่คร่าชีวิตคนหลายชนิด เช่นไข้อีดำอีแดง (scarlet fever) ไข้เลือดออก (dengue fever) ไข้เหลือง (yellow fever) และไข้ลาสซา (Lassa fever)


แม้มนุษย์จะรู้จักอาการไข้มานานนับแสนปี แต่เราเพิ่งมาเข้าใจเรื่องดังกล่าวกันอย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ว่า ร่างกายสร้างภาวะไข้ขึ้นมาได้อย่างไร ก็ในช่วงศตวรรษที่ 20 นี้เอง


หลั่งเลือดเพื่อลดไข้
ดร.แซลลี แฟรมป์ตัน นักประวัติศาสตร์การแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษยศาสตร์กับการดูแลสุขภาพ แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดของสหราชอาณาจักร บอกว่าบรรพบุรุษของเราทราบกันดีถึงอันตรายของไข้สูง จนคนโบราณได้สั่งสมภูมิปัญญาและแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำงานของร่างกายในภาวะไข้เอาไว้มากมาย


"ทุกวันนี้เราทราบกันดีว่า หากคุณมีไข้ นั่นหมายถึงมีโรคบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับไข้โดยตรงเกิดขึ้นแล้ว แต่คนจำนวนไม่น้อยในยุคแรกเริ่มของโลกสมัยใหม่ไปจนถึงช่วงศตวรรษที่ 19 ยังคงคิดว่าไข้คือโรคในตัวของมันเอง" ดร.แฟรมป์ตันกล่าว


ชาวกรีกโบราณพยายามรักษาอาการไข้ด้วยหลากหลายวิธี ตั้งแต่การอดอาหารไปจนถึงการหลั่งเลือด (bloodletting) หรือการนำเลือดเสียออกจากร่างกายในปริมาณเล็กน้อย วิธีโบราณเหล่านี้ถูกนำมาใช้ลดไข้กันอย่างแพร่หลาย จนกระทั่งถึงช่วงศตวรรษที่ 19 เลยทีเดียว


ดร.แฟรมป์ตันยังบอกว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้านองค์ความรู้และวิธีการรักษาไข้เกิดขึ้นเมื่อหลุยส์ ปาสเตอร์ ตีพิมพ์เผยแพร่แนวคิดใหม่ว่าด้วย "ทฤษฎีเชื้อโรค" (germ theory) ในปี 1861 ซึ่งทำให้วงการแพทย์เข้าใจเรื่องการติดเชื้อมากขึ้น จนมองว่าภาวะไข้คืออาการอย่างหนึ่งของโรค แต่ไม่ใช่โรคในตัวของมันเอง


ทฤษฎีเชื้อโรคของหลุยส์ ปาสเตอร์ ชี้ให้เห็นว่ามีโรคที่เกิดขึ้นได้จากการติดเชื้อ ซึ่งก็คือการที่จุลชีพรุกรานเข้ามาในร่างกายของเรา ทฤษฎีนี้ปูทางไปสู่แนวคิดที่ว่า เราสามารถป้องกันโรคติดเชื้อได้ด้วยการรักษาความสะอาด ซึ่งต่อมาในปี 1875 ปาสเตอร์ได้เสนอให้แพทย์และพยาบาลล้างมือ รวมทั้งฆ่าเชื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ด้วยความร้อน เพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ป่วยหญิงมักเสียชีวิตหลังคลอดบุตรเพราะ "ไข้หลังคลอด" (childbed fever) ซึ่งก็คือภาวะติดเชื้อหลังคลอดนั่นเอง


ปัจจุบันเรารู้กันดีแล้วว่า การมีไข้คือปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายเมื่อเกิดการติดเชื้อ อาการไข้พบได้ทั่วไปกับสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรสัตว์ โดยสัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งที่เลือดอุ่นและเลือดเย็นต่างก็รู้สึกหนาวสั่นเมื่อเริ่มมีไข้และมีเหงื่อออกท่วมตัวเมื่อไข้ลดลง ซึ่งก็คือสัญญาณเตือนภัยและสัญญาณการโจมตีของภูมิคุ้มกันร่างกาย


ภาวะไข้คืออะไร ?
การมีไข้นั้นหมายถึงว่า อุณหภูมิภายในร่างกายจะต้องสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส (100.4 องศาฟาเรนไฮต์) แม้ภาวะไข้โดยทั่วไปมักเกิดขึ้นจากการติดเชื้อ แต่ก็สามารถจะเกิดขึ้นจากโรคแพ้ภูมิตัวเอง, โรคจากการอักเสบและเกิดขึ้นหลังการได้รับวัคซีนด้วย


เมื่อร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการติดเชื้อก่อโรคชนิดต่างๆ อุณหภูมิที่แกนกลางร่างกายจะปรับสูงขึ้น ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เชื้อก่อโรคเข้ายึดครองร่างกายของเราเป็นบ้านหลังใหม่ได้ยากขึ้น จนไม่สามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนหรือเจริญเติบโตได้ดีนัก เพราะสภาพแวดล้อมมีอุณหภูมิสูงเกินไป


ศาสตราจารย์เมาโร เปร์เรตตี ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชวิทยาภูมิคุ้มกัน (immunopharmacology) และการอักเสบ (inflammation) จากมหาวิทยาลัยควีนแมรีแห่งกรุงลอนดอน ให้คำอธิบายเพิ่มเติมในเรื่องนี้ว่า "เมื่อร่างกายตรวจจับสิ่งผิดปกติได้ อย่างเช่นเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ระบบควบคุมอุณหภูมิ (thermostat) จะถูกปรับให้สูงขึ้นเล็กน้อย จนถึงระดับที่ภูมิคุ้มกันร่างกายจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในภาวะนี้เซลล์และเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องจะทำงานได้ดีขึ้น มันคือการรีเซ็ตหรือตั้งค่าระบบใหม่ชั่วคราวนั่นเอง"

ภาพและคำที่ขีดเส้นใต้ในตำราโบราณจากศตวรรษที่ 14 นี้  อธิบายว่าโรคใดสามารถรักษาได้ด้วยการหลั่งเลือด (bloodletting)  หรือการนำเลือดเสียออกจากเส้นเลือดในจุดใดบ้าง     ตำราโบราณนี้ถูกจัดแสดงไว้ที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์

ภายในแกนกลางร่างกายของคนเรา ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิที่หนาวไป, ร้อนไปและอุ่นพอดีนั้น ห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากอุณหภูมิในแกนกลางร่างกายตกลงมาที่ 35 องศาเซลเซียส (95 องศาฟาเรนไฮต์) จะเกิดภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำ (hypothermia) ซึ่งทำให้หนาวสั่น, หายใจเข้าออกช้าผิดปกติ, พูดจาเสียงอ้อแอ้สับสนได้


ในทางตรงกันข้าม หากอุณหภูมิในแกนกลางร่างกายเพิ่มสูงขึ้นมากเกินไป (hyperthermia) จนถึง 40 องศาเซลเซียส (104 องศาฟาเรนไฮต์) และคงอยู่ในระดับดังกล่าวเป็นเวลานาน จะเป็นอันตรายต่ออวัยวะภายในรวมทั้งระบบประสาทส่วนกลาง จนเกิดอาการหลอน, ชักเพราะมีไข้สูงและถึงขั้นเสียชีวิตได้


ประโยชน์ของการเป็นไข้
แม้การมีไข้โดยทั่วไปจะเป็นการเพิ่มอุณหภูมิร่างกายภายใต้การควบคุมอย่างดีของระบบเทอร์โมสตัทภายใน ทว่าภาวะที่ตัวร้อนจัดเกินไปจนเข้าขั้น hyperthermia นั้น อุณหภูมิร่างกายจะพุ่งสูงขึ้นโดยปราศจากการควบคุม


แต่เมื่อร่างกายได้พิจารณาเห็นว่า ภัยคุกคามจากเชื้อโรคได้ผ่านพ้นไปแล้ว เนื่องจากกองทัพเชื้อโรคถูกปราบจนราบคาบ ไข้จะเริ่มลดลงจนหายไป หลังร่างกายประสบความสำเร็จในการต่อสู้ต้านทานการติดเชื้อ ไม่ว่าจะด้วยภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ หรือด้วยความช่วยเหลือจากยาสมัยใหม่ อย่างเช่นยาปฏิชีวนะที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียก็ตาม


การมีไข้จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้ก็ต่อเมื่ออาการไข้เกิดขึ้นในระยะสั้นๆ เท่านั้น เพราะอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของคนเราจะทำงานได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด ก็ต่อเมื่อไข้ลดและอุณหภูมิภายในหวนคืนสู่ระดับปกติที่ราว 37 องศาเซลเซียส (98.6 องศาฟาเรนไฮต์)


ศ.เปร์เรตตีบอกว่า การมีไข้ยังเป็น "เสาหลัก" หรือองค์ประกอบที่จะขาดเสียมิได้ในการอักเสบ (inflammation) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายต่อการบาดเจ็บหรือการติดเชื้อ โดยอวัยวะที่อักเสบจะร้อนและแดงขึ้นจนรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก ทั้งยังมีการบวมคั่งของน้ำหรือของเหลวอื่นๆ (oedema) จนไม่อาจทำงานได้ตามปกติ การอักเสบนั้นก็เหมือนกับการมีไข้ตรงที่ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นภัยที่มาจากการติดเชื้อหรือไม่ก็ตาม


เด็กเล็กป่วยเป็นไข้ด้วยสาเหตุเดียวกันกับผู้ใหญ่ ซึ่งมักเป็นการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย แต่เด็กจะเป็นไข้ได้ง่ายกว่า เพราะร่างกายต้องใช้เวลานานในการปรับระดับอุณหภูมิภายในร่างกาย นอกจากนี้ สมองส่วนไฮโปทาลามัสของเด็กซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมอุณหภูมิภายในยังคงไม่คุ้นชินกับการตอบสนองต่อสารก่อไข้หรือไพโรเจน (pyrogens) ที่กระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเชื้อโรคจนไข้ขึ้น


ไพโรเจนจะสื่อสารกับสมองส่วนไฮโปทาลามัสเพื่อเพิ่มระดับอุณหภูมิที่แกนกลางร่างกายให้สูงขึ้น จนเกิดสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อความอยู่รอดและการขยายพันธุ์ของเชื้อโรค ส่วนเชื้อเหล่านี้ก็ไม่พยายามจะปรับตัวเพื่อให้ดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ได้ในภาวะที่อุณหภูมิสูงขึ้นชั่วคราว เพราะในระยะยาวแล้วการปรับตัวนี้อาจไม่คุ้มค่า และเสี่ยงจะทำให้พวกมันก่อโรคติดเชื้อในสิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงและตัวเย็นกว่าได้ยากขึ้น


ประโยชน์ของไข้ที่มีมายาวนานนับพันปี
แม้มนุษย์พยายามจะรักษาหรือลดไข้มาตั้งแต่ยุคโบราณ ทว่านักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันกลับบอกว่า การเป็นไข้มีประโยชน์มากกว่าโทษในหลายสถานการณ์


ศ.เปร์เรตติบอกว่า อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นสามารถส่งเสริมการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน อย่างเช่นกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาวตอบสนองต่อภัยคุกคามจากเชื้อโรคได้ว่องไวขึ้น การเป็นไข้ยังมีประโยชน์ต่อปฏิกิริยาเคมีชีวภาพและการตอบสนองระดับเซลล์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการอักเสบอีกด้วย


การที่คนเราตัวร้อนขึ้นเพราะมีไข้ ยังทำให้ความร้อนกลายเป็นสัญญาณเตือนภัย ซึ่งจะกระตุ้นให้เซลล์ภูมิคุ้มกันออกลาดตระเวน และเกิดการส่งสัญญาณประสาทรวมทั้งสารเคมีอื่นๆ เพื่อให้ระบบต่างๆ ได้ปรึกษาหารือกันถึงแผนรับมือกับภัยคุกคาม


 


 

คนที่ไข้ลดเพราะกินยา จะกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ ทั้งออกไปทำงานและเข้าสังคมตามสถานที่ต่างๆ เพราะไม่รู้สึกเพลียและอยากพักผ่อนตามลำพังจนเกิดการแพร่เชื้อออกไปในวงกว้าง

ศ.เปร์เรตติกล่าวเสริมว่า การเปลี่ยนพฤติกรรมในระหว่างที่เราเป็นไข้ ยังช่วยเพิ่มพลังให้แก่ภูมิคุ้มกันร่างกายอย่างมหาศาล ทั้งช่วยหนุนเสริมกลไกอื่นๆ ที่ร่วมต้านทานการติดเชื้อด้วย เช่นลดระดับธาตุเหล็กและสังกะสีในเลือด ลดความอยากอาหาร และเพิ่มความรู้สึกเหนื่อยล้าง่วงนอน เพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนและฟื้นฟูร่างกายเป็นหลัก


สัตว์จำพวกปลาและสัตว์เลื้อยคลานรู้จักเพิ่มอุณหภูมิภายในแกนกลางของร่างกายขึ้น เพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อและมีโอกาสอยู่รอดสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ทว่าร่างกายของสัตว์เลือดเย็นจะไม่ได้มีไข้โดยอัตโนมัติเหมือนสัตว์เลือดอุ่น แต่จะอาศัยการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพื่อเพิ่มอุณหภูมิ เช่นปลาจะว่ายไปยังน่านน้ำที่อุ่นกว่าเดิม ส่วนกิ้งก่าจะออกมาอาบแดด


ไข้สูงเกินไปทำอย่างไรดี
หากร่างกายของเราไม่สามารถจะเป็นไข้หรือเกิดการอักเสบได้เลย นั่นหมายความว่าเราไม่อาจป้องกันตัวได้ดีพอ จากภัยคุกคามที่มากับการติดเชื้อ แต่หากเรามีทั้งไข้สูงและการอักเสบอย่างรุนแรงพร้อมกัน นั่นอาจอันตรายเกินไปอยู่สักหน่อย "การมีไข้และอักเสบบ้างนั้นเป็นเรื่องดี แต่หากมีไข้สูงและอักเสบรุนแรงเกินไป ไม่ใช่เรื่องดีแน่" ศ.เปร์เรตติกล่าว


การมีไข้สูงเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ (dehydration) เนื่องจากร่างกายเร่งผลิตเหงื่อเพื่อขับความร้อนออกจากตัว และหากผู้ป่วยมีอุณหภูมิภายในสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส โดยไข้ไม่ลดลงจากระดับนี้เลยเป็นเวลานาน อวัยวะสำคัญและระบบต่างๆ ภายในจะทำงานผิดปกติ ผลการศึกษาในหนูทดลองเมื่อปี 2024 ระบุว่าความร้อนส่วนเกินทำให้ดีเอ็นเอถึงกับเสียหายได้


สิ่งที่น่าห่วงอีกเรื่องคืออาการชักเพราะไข้สูง (febrile seizures) ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กเล็ก การชักเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่ออุณหภูมิแกนกลางที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และมักพบในกรณีการติดเชื้อ แต่สาเหตุที่แท้จริงของการชักแบบนี้ยังคงไม่สามารถอธิบายได้ โดยทั่วไปแล้ว อาการชักเพราะไข้สูงไม่ได้เป็นอันตรายหรือส่งผลเสียในระยะยาวต่อเด็ก แต่ก็ควรให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยด้วยทุกครั้ง


อย่างไรก็ตาม การมีไข้สูงเป็นเวลานานแต่ปล่อยไว้ไม่รักษา อาจส่งผลเสียร้ายแรงได้ในกรณีที่เป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitis) ปอดอักเสบนิวโมเนีย หรือติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งกรณีเหล่านี้แพทย์ต้องบำบัดรักษาการติดเชื้อโดยตรงอย่างเร่งด่วน ทำให้ร่างกายไม่มีความจำเป็นต้องผลิตสารก่อไข้หรือไพโรเจน รวมทั้งไม่ต้องปรับเทอร์โมสตัทที่ควบคุมอุณหภูมิภายในร่างกายเลย เนื่องจากการรักษาได้ขจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมออกไปหมด จนภูมิคุ้มกันไม่ต้องต่อสู้กับเชื้อเหล่านั้นอีกต่อไป


อีกกรณีหนึ่งที่ทำให้การมีไข้เป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต นั่นคือการมีไข้สูงจนควบคุมไม่ได้ (hyperpyrexia) ซึ่งก็คือการมีไข้สูงกว่า 41.5 องศาเซลเซียส จนเกิดภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่สมองทำงานผิดปกติ และอวัยวะภายในพากันล้มเหลว จนเป็นเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ในที่สุด


เมื่อใดที่ต้องรักษาอาการไข้
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า การมีไข้นั้นเป็นประโยชน์ต่อร่างกายที่ติดเชื้อ ดังนั้นการพยายามลดไข้โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จึงส่งผลเสียต่อสุขภาพบางประการ โดยในงานวิจัยทบทวนผลสำรวจเรื่องไข้ ระหว่างช่วงที่เกิดการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี 2021 ระบุว่า "การพยายามขัดขวางไม่ให้มีไข้ อาจทำให้เกิดอันตรายได้ เพราะการมีไข้และอาการเจ็บป่วยอื่นๆ คือกลไกป้องกันการติดเชื้อที่มีวิวัฒนาการมาตามธรรมชาติ"


การใช้ยาลดไข้นั้นส่งผลเสียในประชากรกลุ่มใหญ่ด้วย โดยผลวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2014 ชิ้นหนึ่ง ระบุว่าการใช้ยาลดไข้ในกรณีของไข้หวัดใหญ่ ทำให้อัตราการแพร่เชื้อเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากคนที่ไข้ลดเพราะกินยา จะกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ ทั้งออกไปทำงานและเข้าสังคมตามสถานที่ต่างๆ เพราะไม่รู้สึกเพลียและอยากพักผ่อนตามลำพัง จนเกิดการแพร่เชื้อออกไปในวงกว้าง


ศ.เปร์เรตตีแนะนำว่า ในกรณีที่มีไข้ต่ำและอาการไม่รุนแรง อาจพิจารณาให้บางคนไปทำงานได้ตามปกติ แต่โดยทฤษฎีแล้วควรให้เวลาร่างกาย 24-48 ชั่วโมง ในการสร้างภาวะอักเสบที่จำเป็นและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเชื้อโรคเสียก่อน ส่วนในบางสถานการณ์ที่การมีไข้สุ่มเสี่ยงจะก่อให้เกิดอันตรายได้ ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์จะเป็นการดีกว่า


ดังนั้นในครั้งต่อไปที่คุณมีไข้ อาจลองให้ร่างกายได้มีโอกาสเยียวยารักษาตนเองเสียก่อน ปล่อยให้ความร้อนภายในร่างกายแผดเผาและเสียเหงื่อสักพัก มันอาจช่วยได้ดีกว่าการกินยาดักไข้ เพราะอย่างน้อยนี่เป็นวิธีที่ธรรมชาติคัดสรรมาให้คุณ และได้ช่วยปกป้องมนุษยชาติจากโรคภัยมานานหลายพันปีแล้ว


คำเตือน: เนื้อหาในบทความนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ผู้อ่านไม่ควรนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติแทนคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพการดูแลสุขภาพ บีบีซีไม่มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ต่อการวินิจฉัยโรคของผู้อ่าน หากใช้เนื้อหาในบทความนี้เป็นหลักในการวินิจฉัยโรคดังกล่าว นอกจากนี้ บีบีซียังไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อเนื้อหาจากลิงก์ภายนอก และไม่ได้สนับสนุนผลิตภัณฑ์หรือบริการเชิงพาณิชย์ใดๆ ที่มีการแนะนำหรือเอ่ยถึงในหน้าเว็บไซต์นี้ กรุณาขอคำปรึกษาจากแพทย์ทั่วไปประจำตัวของคุณทุกครั้งหากมีความกังวลเรื่องสุขภาพ


 

 


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : https://www.bbc.com/thai/articles/cp8emj4ln07o


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของรูปภาพ : Serenity Strull,Alamy,,}Getty Images