"สตาร์ตอัปญี่ปุ่นพัฒนาระบบจดจำใบหน้าขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ สามารถอ่านค่าสัญญาณชีพจรได้เพียงแค่เปิดกล้องส่องใบหน้าเท่านั้น หวังนำไปช่วยตรวจสุขภาพผู้สูงอายุ"
สตาร์ตอัปญี่ปุ่นพัฒนาระบบจดจำใบหน้าขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ ที่เคลมว่าสามารถอ่านค่าสัญญาณชีพจรได้ เพียงแค่เปิดกล้องส่องใบหน้าเท่านั้น หวังต่อยอดเป็นตัวช่วยในการตรวจสุขภาพให้ผู้สูงอายุ
โดยในงานแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก CES 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ฮิโตชิ อิมาโอกะ (Hitoshi Imaoka) จากบริษัทเทคโนโลยีสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์ชื่อดัง เอ็นอีซี (NEC) ในประเทศญี่ปุ่นได้นำผลงานนี้มาจัดแสดงในงาน
อิมาโอกะกล่าวว่า เขาเองคร่ำหวอดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการจดจำใบหน้ามากว่า 20 ปี แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบัน เขาจึงมองเห็นโอกาสในการพัฒนาระบบให้อัจฉริยะยิ่งขึ้น อีกทั้งแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งยังมาจากพ่อแม่ของเขาเอง ที่มีอายุ 80 ปีแล้ว รวมถึงที่ญี่ปุ่นก็กำลังเผชิญกับสังคมสูงวัย เขาจึงพยายามรวมเทคโนโลยีเอไอเข้ากับระบบจดจำใบหน้า ทำเป็นระบบตรวจจับสัญญาณชีพขึ้นมานั่นเอง
ระบบที่บริษัทพัฒนาขึ้นนี้ทำงานผ่านสมาร์ตโฟน ผู้ใช้งานเพียงแค่เปิดระบบและมองเข้าไปในกล้องของสมาร์ตโฟน จากนั้นระบบก็จะใช้เวลาประมาณ 10-60 วินาที เพื่อให้เอไอทำการจดจำภาพและวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของรูม่านตา รวมถึงรูปแบบของใบหน้า เพื่อทำการวัดค่าต่าง ๆ
บริษัทเคลมว่า ระบบที่พัฒนาขึ้นนี้ สามารถวัดอัตราการเต้นของชีพจรจากข้อมูลหลอดเลือด ที่รวบรวมตามลักษณะการไหลเวียนของเลือดบนใบหน้า และวัดอัตราการหายใจของผู้ใช้งาน ด้วยการอ่านการเคลื่อนไหวของหน้าอก
ทั้งนี้ บริษัทมองว่า ผลงานนี้จะช่วยให้การดูแลและรายงานข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ทำได้ง่ายขึ้น เพราะถึงแม้ปัจจุบันจะมีอุปกรณ์ เช่น นาฬิกาอัจฉริยะ มาช่วยตรวจจับสัญญาณชีพ แต่กลุ่มคนเหล่านี้ก็อาจจะไม่สะดวกใช้งาน ดังนั้น บริษัทจึงต้องการสร้างระบบที่สามารถตรวจสอบสถานะสุขภาพของผู้คนจากการสังเกตใบหน้า เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
โดยปัจจุบันระบบตรวจสอบใบหน้าของบริษัทได้รับรางวัลจากเวที CES 2024 Innovation Award สาขาปัญญาประดิษฐ์ และบริษัทผู้พัฒนาหวังว่าจะสามารถพัฒนาระบบให้วัดค่าอื่น ๆ ได้มากขึ้น เช่น การวัดระดับความเครียด โดยวางแผนที่จะเปิดตัวระบบในปลายปีนี้
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล :www.tnnthailand.com
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพ : รอยเตอร์